จุดเริ่มต้น
“แม่อยากไปเที่ยวฮ่องกง”
คำๆ นี้นับเป็นจุดเริ่มต้นทริปเล็กๆ ของกระต่ายในครั้งนี้
ในขณะที่คนส่วนใหญ่เคยไปกันมาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง แต่แม่
และกระต่ายยังไม่เคยไปฮ่องกงกันเลย
ดังนั้นเราจึงตัดสินใจว่าปีนี้เราจะต้องไปกันให้ได้ มีเสียงเล็กๆ อีกเสียงหนึ่งจาก “น้าจิ๋ม” เพื่อนรักของแม่บอกว่ายังไม่เคยไปเหมือนกัน
ดังนั้นเราจึงได้ผู้ร่วมขบวนการมาอีก 1 คน
ช่วงต้นปีน้าจิ๋ม และลูกๆ
ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวกันที่ประเทศญี่ปุ่น และก่อนไปได้ช้อปปิ้งที่ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี (King
power duty free) ครบ 20,000 บาท จึงได้รับตั๋วเครื่องบินสายการบินคาร์เธ่ย์แปซิฟิก
ไปกลับฮ่องกงฟรี 1 ที่นั่ง ดังนั้นโปรแกรมทัวร์ของเราจึงเปลี่ยนแปลงไปจากการซื้อทัวร์เป็นการไปเที่ยวกันเอง
และได้สมาชิกมาเพิ่มอีก 1 คน เพื่อเติมเต็มความมั่นใจ
ให้กับคณะทัวร์หญิงล้วนของเรา ซึ่งก็คือ “หมอนัท “ลูกชายของน้าจิ๋มนั่นเอง
หมอนัทรับหน้าที่เป็นผู้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน
และที่พัก ซึ่งต้องใช้ความสามารถที่จะทำให้ตั๋วฟรี
และตั๋วซื้อสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว กับวันเวลา และสถานที่
รวมทั้งราคาก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญต่อการตัดสินใจ ซึ่งหมอนัทก็ได้แจ้งให้ทราบเป็นระยะ แล้วลูกทั้ง
2 ก็ช่วยกันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับแม่ของเราสำเร็จ โดยมีไก่โต้ง (น้องชาย)
ช่วยสนับสนุนด้านทุนทรัพย์ให้กับแม่ในการท่องเที่ยวในครั้งนี้ กระต่ายต้องขอขอบคุณหมอนัท และไก่โต้งไว้ ณ
ที่นี้ ที่ช่วยกันทำให้ทริปของเราสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อกำหนดวันที่จะเดินทางกันเรียบร้อยแล้ว กระต่ายก็เริ่มหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับฮ่องกง เช่น สถานที่ท่องเที่ยว
อาหารการกินต่างๆ เส้นทางคมนาคม ฯลฯ ซึ่งทำให้พบว่า ประเทศเล็กๆ
แห่งนี้ที่ทุกคนมองว่าเป็นเพียงแหล่งช้อปปิ้งปลอดภาษี
อันที่จริงก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีความงดงามทางธรรมชาติไม่น้อยเลยทีเดียว
เขตปกครองพิเศษฮ่องกงเป็นหมู่เกาะเล็กๆ
ทางตอนใต้ของประเทศจีน เคยเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลกวางตุ้ง
และมีอาณาเขตตอนบนติดกับเมืองเสิ้นเจิ้น พื้นที่ของฮ่องกงที่สำคัญๆ แบ่งออกเป็น 3
ส่วน คือ เกาะลันตา เกาะฮ่องกง และฝั่งเกาลูน โดยเกาลูนเป็นส่วนเดียวที่มีพื้นที่ติดกับผืนแผ่นดิน
แผนที่หมู่เกาะสำคัญของฮ่องกง
รวมไปถึงมาเก๊าที่นิยมไปกัน
ประวัติศาสตร์ของฮ่องกงไม่ได้ยาวนานอะไรนัก
เนื่องจากแต่เดิมเป็นเพียงเกาะที่ใช้เป็นท่าเรือขนส่งไม้หอมเท่านั้น
มีเพียงหินโสโครก และป่าไม้ จึงมิได้มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์มาแต่ดั้งเดิมจนกระทั่งกัปตันชาร์ลส์ อีเลียต (Charles
Elliot) แห่งราชนาวีอังกฤษได้กลิ่นหอมจากเรือบรรทุกไม้หอมที่มาเทียบท่าที่เกาะแห่งนี้ซึ่งในขณะนั้นมีชื่อเรียกว่า “เซี่ยงกาง” (ภาษาจีนกลาง) คำว่าเซี่ยงแปลว่ากลิ่นหอม กัปตันอีเลียต จึงรายงานพระนางเจ้าวิกตอเรียถึงเกาะกลิ่นหอมแห่งนี้
จนทำให้เป็นที่สนใจ
ประเทศอังกฤษจึงส่งกำลังทหารเข้ายึดครองเกาะฮ่องกงโดยหารู้ไม่ว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีทรัพยากรใดๆ
ที่ควรค่าแก่การช่วงชิงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อมากัปตันอีเลียต จึงถูกเนรเทศไปอยู่มลรัฐเท็กซัส
ซึ่งสมัยนั้นเป็นรัฐที่ห่างไกลความเจริญ ต่อมาเมื่อประเทศจีนแพ้สงคราม
จนต้องทำสนธิสัญญานานกิงกับอังกฤษ สัญญาระบุให้เกาะฮ่องกงต้องทำสัญญาให้อังกฤษเช่าเป็นเวลานานถึง
99 ปี
ในวันที่อังกฤษมอบเกาะฮ่องกงคืนให้แก่ประเทศจีนในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) กระต่ายยังจำได้ดีว่ามีข่าวถ่ายทอดไปทั่วโลก แม้จะจำไม่ได้ว่าเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม
และในขณะนั้นก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอิสรภาพ
อย่างไรก็ตามฮ่องกงเริ่มมีประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในวันที่อังกฤษเข้ายึดครองนั่นเอง
มิเช่นนั้นแล้วคงเป็นเพียงหินโสโครกที่ลอยน้ำอยู่ชั่วกาลนาน
เริ่มเรื่อง
ก่อนเดินทางกระต่ายฟิตความพร้อมของร่างกายด้วยการขี่จักรยานออกกำลังกายจนได้เหงื่อเป็นเวลา
1 สัปดาห์
และทดลองใส่รองเท้าที่จะใช้เดินเป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตรเพื่อทดสอบสมรรถนะ จากห้างพันธ์ทิพย์พลาซ่าไปจนถึงสยามดิสคัฟเวอรี่
เพื่อแลกเงินที่บริษัทสยามเอกเชน ในอัตรา 4.16 บาท ต่อ 1 เหรียญฮ่องกง อุณหภูมิในเดือนกรกฎาคมของฮ่องกงไม่แตกต่างจากประเทศไทยเท่าไรนักอยู่ในช่วง
26-30 องศาเซลเซียส แต่ติดจะมีฝนตก เนื่องจากอยู่ในหน้ามรสุม ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าในช่วงนี้ของทุกปีที่ฮ่องกงมีเทศกาลลดราคาทั้งเกาะ
ซึ่งมีส่วนทำให้พวกเราเลือกที่จะเดินทางไปกันในช่วงเวลานี้
ก่อนการเดินทางเพียงไม่กี่วันมีไต้ฝุ่นชื่อว่า
“รามสูร” ก่อตัวขึ้นที่ชายฝั่งประเทศฟิลิปปินส์
และได้พัดถล่มประเทศฟิลิปปินส์จนถึงใจกลางประเทศคือกรุงมนิลาจนเกิดความเสียหาย
และมีผู้เสียชีวิตจากไต้ฝุ่นในครั้งนี้หลายคน
นักพยากรณ์อากาศคาดคะเนว่าไต้ฝุ่นจะมีเส้นทางไปยังเกาะไหหลำ
และเกาะฮ่องกง กระต่ายเฝ้าติดตามข่าวไต้ฝุ่นอย่างใกล้ชิด
และได้ความรู้ว่าไต้ฝุ่นนั้นมิได้เดินทางรวดเร็วเท่าไรนัก หลังจากพัดออกจากฟิลิปปินส์ด้วยความแรงที่ลดน้อยลงเหลือเพียงระดับ
1 มันสามารถเพิ่มความแรงขึ้นจากการได้รับไอร้อนจากทะเล กลายเป็นไต้ฝุ่นระดับ 3 ไปจ่ออยู่ที่ชายฝั่งของเกาะไหหลำในเช้าวันที่
18 ซึ่งเป็นวันที่เรากำลังจะออกเดินทางในเวลา 4 โมงเย็นพอดี
18 ก.ค. 2557
คณะเดินทางของเรามีที่อยู่กระจัดกระจาย แม่ และน้าจิ๋มอยู่ที่จังหวัดระยอง กระต่ายอยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา
ส่วนหมอนัทอยู่ที่กรุงเทพฯ
ดังนั้นกระต่ายจึงเป็นฝ่ายเดินทางไปจังหวัดระยองเพื่อรับแม่
และน้าจิ๋มเข้ามาพบกับหมอนัทที่กรุงเทพฯ
การเดินทางของเราเริ่มขึ้นเมื่อเราทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่ลานจอดรถใต้คอนโดของหมอนัท
กระเป๋าของทุกคนถูกลำเลียงจากรถโตโยต้ายาริสคันเล็ก บรรจุลงในท้ายรถเก๋งนิสสันคันใหญ่
เมื่อสมาชิกขึ้นนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปอย่างร่าเริง
เนื่องจากยังไม่มีวี่แววของฝนตก หรือพายุมาแผ้วพานแม้แต่น้อย
ระหว่างทางไปสนามบินหมอนัทแวะให้พวกเราฝากท้องกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือใกล้แยกครีนครินทร์
เนื่องจากเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว แต่พวกเรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย
ซึ่งเป็นความผิดของกระต่ายเองที่กะเวลาผิดพลาด เรามาถึงคอนโดหมอนัทกันเกือบจะไม่ทันเวลานัด
จึงไม่ได้กินข้าวกลางวันมาก่อน ได้แต่รองท้องด้วยข้าวหลามกับน้ำผลไม้เล็กน้อยที่จุดพักรถมอเตอร์เวย์เท่านั้น
แวะมอเตอร์เวย์รองท้องด้วยน้ำหวานกับข้าวหลามค่ะ
ไปด้วยกันกับรถคันนี้
มื้อกลางวันยามบ่ายที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือบ้านสวน
เดินทางถึงสนามบินแล้วเราก็เข้าไปรับ
บอร์ดดิงพาท (boarding pass) กันอย่างไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา
เนื่องจากหมอนัทได้ทำเว็ปเช็คอินมาก่อนล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
หลังจากชั่งน้ำหนักกระเป๋าเรียบร้อยเราก็เจอเซอร์ไพรส์จากชายหนุ่มร่างใหญ่ไก่โต้งลางานออกมาส่งพวกเราที่สนามบิน
เวลาที่ไก่โต้งต้องเดินทางไปต่างประเทศแม่มักจะมาส่งไก่โต้งเสมอ
แม้ว่าในระยะหลังจะไม่ค่อยได้มาเนื่องจากไก่โต้งเดินทางบ่อยมากจนส่งแทบไม่ไหว
แต่ก็เป็นไก่โต้งที่เป็นห่วงเป็นใยที่จะมาส่งแม่เช่นเดียวกับที่แม่เคยทำ
แม่ลูกกอดกันร่ำลาประหนึ่งว่าจะจากกันเป็นเดือน แท้จริงก็เพียงแค่ 2
วันเท่านั้นเอง แต่อ้อมกอดของไก่โต้งก็อบอุ่นยิ่งนักสำหรับแม่ และพี่สาว
ไก่โต้งแอบมาเซอร์ไพร์สที่สนามบิน
หมอนัทติดต่อซื้อประกันสุขภาพที่เคาท์เตอร์ธนาคารไทยพาณิชย์ให้พวกเราคนละฉบับ
เนื่องจากหมอนัทเคยเป็นแพทย์ประจำสนามบินมาก่อน
และคำถามแรกสำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาก็คือ
“คุณมีประกันภัยการเดินทางหรือเปล่า?” ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทหมอนัทจึงให้พวกเราทำประกันไว้ก่อน
แต่ปรากฏว่าแม่ทำไม่ได้เนื่องจากอายุเกิน 65 ปี
แต่กระต่ายก็ยังอุ่นใจที่เรามีหมอมาด้วยในการเดินทางครั้งนี้
เราทำประกันช่วงระยะเวลาเพียง 5 วัน
เบี้ยประกัน 500 บาท ซึ่งไก่โต้งรีบควักกระเป๋าจ่ายให้กับกระต่ายทันที
ต้องขอขอบคุณไก่โต้งด้วยที่มีน้ำใจให้เจ๊อยู่เสมอ
บอร์ดดิงพาท
(boarding
pass) ของกระต่าย
ก่อนขึ้นเครื่องกระต่ายเช็คสถานการณ์พายุไต้ฝุ่นรามสูรอีกครั้ง
ปรากฏว่าพัดขึ้นฝั่งเกาะไหหลำเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเกาะไหหลำ
และเกาะฮ่องกงนั้นอยู่ใกล้กันนิดเดียวเท่านั้น กระต่ายคิดว่าฝนคงตกหนักทีเดียวสำหรับการท่องเที่ยวของเราในคราวนี้
แม่ปลอบใจว่าได้เตรียมเสื้อกันฝนมาด้วยแล้วไม่ต้องเป็นห่วง มีร่ม
และหมวกมาด้วยพร้อมเต็มที่ ขึ้นนั่งบนเครื่องได้ไม่นาน
แม่ก็ผล็อยหลับไปขณะที่เครื่องยังไม่ทันขึ้น เนื่องจากตื่นมาตั้งแต่เช้ามืด
คงจะตื่นเต้นแบบเด็กที่กำลังจะได้ไปเที่ยว
เมืองไทยที่เราต้องจากกันไปชั่วคราว
หลับไปซะแล้ว
เครื่องขึ้นได้ไม่นานพนักงานก็เริ่มเดินแจกอาหาร
มี 2 อย่างให้เลือกคือข้าวราดแกงเป็ด กับข้าวผัดหมู
กระต่ายกับแม่เลือกไม่เหมือนกัน จะได้แบ่งกันชิม
ข้าวราดแกงเป็ดอร่อยมากค่ะ
ข้าวผัดก็รสชาติดีไม่น้อย
กินอิ่มแล้วกระต่ายก็เริ่มดูมอนิเตอร์เส้นทางการบิน
ซึ่งจะบอกเวลา และสถานที่ที่เรากำลังบินผ่าน
เวลา
และเส้นทางการบิน
นอกจากดูข้อมูลแล้วเจ้าเครื่องนี้ยังมีรายการทีวี
เพลง และเกมให้เล่นอีกด้วย
ท้องฟ้าภายนอกมองเห็นปุยเมฆสีขาวสวยงาม ไม่มีวี่แววของเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย
นานจนกระทั่งฟ้ามืดลง เครื่องเริ่มตกหลุมอากาศเมื่อบินผ่านเกาะไหหลำมีสัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ไม่มีอะไรร้ายแรงเรายังคงนั่งคุยกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่างสบายใจจนเครื่องร่อนลงสนามบิน เช๊ก แลป ก๊อก (Chek Lab Kok) ประเทศฮ่องกงอย่างปลอดภัย
เมฆสวยใต้ฟ้าใส
สนามบิน
เช๊ก แลป ก๊อก (Chek Lab Kok) ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในที่สุดเครื่องก็บินมาถึงประเทศฮ่องกงโดยปราศจากลมฝน
แต่แม่บอกว่าอย่าไปถามหาฝนนะ ฝนไม่ตกก็ดีแล้วเราจะได้เที่ยวกันสนุก เกทที่เราลงจากเครื่องบินต้องนั่งรถไฟฟ้าอีกต่อนึงไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
บนรถไฟฟ้ามีที่นั่งน้อยมากเราต้องยืนกันไป
แต่ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่อึดใจประตูก็เปิดให้เราลงจากรถ
ขึ้นรถไฟฟ้ากันตรงนี้ค่ะ
ยืนไม่นานก็ต้องลงกันแล้ว
ลงจากรถแล้วเราเดินตามฝูงชนไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง
รับกระเป๋าที่สายพานหมายเลข
8
เมื่อได้กระเป๋าเรียบร้อยเราก็พากันเดินออกไปด้านนอก
คุณทิฟฟานี่ไกด์สาวสวยจากไทยฟลาย
ทราเวล (THAIFLY
TRAVEL)
มารอต้อนรับเราบริเวณทางออก
หลังจากนัดหมายการท่องเที่ยวในวันรุ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว
คนขับรถก็พาเราออกไปลงลิฟท์ด้านนอกไปยังลานจอดรถเพื่อพาเราไปยังโรงแรมที่พัก
ลงลิฟท์
รถที่มารับเราไปส่งโรงแรม
เรานั่งรถอย่างสบายไม่ต้องเบียดกับใครหรูหราไฮโซกันสี่คน
แม่กับน้าจิ๋มนั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ระหว่างที่รถแล่นข้ามสะพานชิงหม่าเพื่อไปยังฝั่งเกาลูนกระต่ายเห็นป้ายไฟเขียนเตือนว่าลมแรงห้ามรถวิ่งเลนกลาง
พร้อมทั้งมีป้ายไฟกากบาทเหนือเลนกลางถนนไปตลอดทาง
ด้านนอกมีลมพัดแรงแม้ว่าจะมีฝนตกเพียงปรอยๆ แต่ลมก็พัดจนรถมีอาการสะบัดอย่างชัดเจน
ภายในรถที่มารับเรา
ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมเชอราตันที่พักของเราในทริปนี้
หมอนัทพาเราขึ้นไปที่ ล๊อบบี้ เซ็นเอกสารกันเล็กน้อยเราก็ได้รับคีย์การ์ดของแต่ละห้องมาเรียบร้อย
พนักงานนำกระเป๋าขึ้นไปเก็บส่วนพวกเราก็ออกไปเดินเล่นกันอย่างสบายใจ
บริเวณล๊อบบี้โรงแรม
มีดนตรีสดขับกล่อม
แม่ๆ
นั่งรอเช็คอิน
โรงแรมที่เราพักอยู่ฝั่งเกาลูน
โซนนี้เรียกว่าย่านจิมซาโจ่ยเป็นแหล่ง ช้อปปิ้งชั้นนำของฮ่องกง
มีทั้งห้างสรรพสินค้า และร้านค้าสินค้าแบนด์เนมมากมาย ทั้งกระเป๋า, เสื้อผ้า, ร้องเท้า, น้ำหอม สารพัดสิ่งให้เลือกซื้อจนลายตาไปหมด ขณะนั้นเป็นเวลาราว 3 ทุ่มครึ่ง
เราเพียงแต่เดินชมยังไม่ได้ช้อปปิ้งเพราะเห็นว่าใกล้โรงแรมมาก
หมอนัทเปิดแผนที่ร้านขนมหวานออกมาดูพักเดียวก็ได้เรื่อง เพราะบังเอิญร้านอยู่ใกล้กับที่เรายืนพอดี
ร้าน ฮุ่ย หลัว ซาน (HUI
LAU SHAN) เป็นร้านของหวานที่ทำจากมะม่วง ภายในร้านมีลูกค้านั่งเต็ม
ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ถ้าจะเปรียบไปคงเหมือนกับสยามสแควร์บ้านเราที่มีร้านขนมเก๋ๆ
เป็นที่พบปะกันของกลุ่มวัยรุ่น
เข้าคิวรอที่หน้าร้าน
ในร้านวัยรุ่นเพียบค่ะ
แม่ๆ เลือกชมเมนูอย่างตั้งใจ
พอมีที่ว่างเราก็รีบแทรกตัวเข้าไปนั่งกันอย่างรวดเร็ว
ในเมนูมีขนมน่าสนใจหลายอย่าง สังเกตหลายโต๊ะสั่งขนมถ้วยโตๆ มากินด้วยกัน
เราจะเอาอย่างบ้างก็เกรงว่าจะไม่ได้ชิมของอย่างอื่น ก็เลยเลือกเมนูที่มีขนม 3 ถ้วย
ใน 1 ชุด เพื่อที่จะได้ทดลองชิมหลายๆ อย่าง
ได้ขนมหน้าตาอย่างนี้มาค่ะ
รสชาติอร่อยชื่นใจมากค่ะ
เดินทางมาเหนื่อยๆ ได้ขนมหวานเย็นชื่นใจก็ยากที่จะปฏิเสธจริงไหมคะ
แล้วยิ่งเป็นอาหารสามัคคีอย่างนี้กินกันหลายๆ คนยิ่งสนุก เราก็กินไปวิจารณ์ไป
แล้วก็คิดกันว่าของง่ายๆ แบบนี้ประเทศไทยเราก็ทำได้สบายมาก
พอถึงเวลาคิดสตางค์พวกเราตัดสินใจเอาเงินมารวมกันไว้ที่กระต่ายคนละ 500 เหรียญ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการกิน และเที่ยวในครั้งนี้
กระต่ายจึงเคลียร์ของออกจากกระเป๋าซิป แล้วบรรจุเงินกองกลางลงไป
ขนมก็อร่อย
น้ำมะม่วงก็ชื่นใจค่ะ
เราเดินเตร็ดเตร่กันไม่นานก็กลับเข้าห้องพัก
เนื่องจากมีฝนตกลงมาปรอยๆ พอมาถึงฮ่องกงอย่างนี้แล้วกระต่ายก็เลิกสนใจพยากรณ์อากาศ
เพราะมัวแต่สนใจเหตุการณ์เฉพาะหน้ามากกว่าว่าพรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวที่ไหนจะกินอะไรดี
หมอนัทเองก็บอกอย่างสบายใจว่าฝนจะตกแดดจะออกเราก็เที่ยวกันได้ไม่ต้องเป็นห่วง
บรรยากาศย่านจิมซาโจ่ย
ซองใส่คีย์การ์ดระบุหมายเลขห้อง
กระต่ายกับแม่พักห้อง
587 ส่วนหมอนัทกับน้าจิ๋มพักห้อง 545 ห้องเราห่างกันคนละมุม
แต่กระต่ายได้เปิดโรมมิ่งอินเตอร์เน็ตไว้เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นนอกจากใช้โทรศัพท์โรงแรมโทรหากันได้
เราก็ยังสามารถใช้โปรแกรมไลน์ติดต่อกันได้อีกด้วย
ต่างคนต่างเฝ้าแม่ของตัวเองไว้ให้ดีก็เป็นพอ ถ้าหลงทางก็ยังสามารถหากันได้สบายมาก
ห้องพักของเรามีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน
กระต่ายเพิ่งเคยได้พักโรงแรมที่มีเตารีดให้ด้วยเป็นครั้งแรก ภายในห้องก็กว้างขวางน่าสบาย
กระต่ายเคยได้ยินมาว่าโรงแรมในฮ่องกงส่วนใหญ่มักจะมีห้องขนาดเล็กจนไม่สามารถวางกระเป๋าเดินทางได้
ดังนั้นจึงเลือกโรงแรมดีๆ ให้แม่พักสบายมีที่จัดข้าวของได้สะดวก
ในห้องพัก
วันพรุ่งนี้เรานัดกัน
เวลา 7.00 น. ฮ่องกง เนื่องจากเวลาฮ่องกงเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.
ดังนั้นกระต่ายจึงตั้งโทรศัพท์ปลุกเป็นเวลา 5.00 น. เพื่อเผื่อเวลาทำธุระ
แม่หลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอ่อนเพลีย
ส่วนกระต่ายยังคงอ่านข้อมูลท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไป
รุ่งเช้ามาถึงรวดเร็วมากจนแทบไม่ได้ตั้งตัว
กระต่ายตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงปลุกของโทรศัพท์
เราผลัดกันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปที่ล๊อบบี้ก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย
หลังจากรออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นมีใครมา กระต่ายจึงเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของโรงแรมโทรหาพ่อ
และไก่โต้ง เพื่อบอกว่าพวกเราสบายดี แล้วก็เล่าเรื่องทั่วๆ ไปให้ฟัง จากนั้นก็เปิดทีวีออนไลน์ดูรายการโทรทัศน์เมืองไทย
กระต่ายเริ่มแปลกใจว่านี่ไม่ใช่รายการตามเวลาปกติของเมืองไทย
เมื่อเทียบกับนาฬิกาข้อมือก็พบว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของกระต่ายได้ทำการปรับปรุงเวลาด้วยตัวเอง
เดินตามเวลาฮ่องกงแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ดังนั้นก็แปลว่าเราตื่นก่อนที่ควรจะเป็นถึง
1 ชม. กระต่ายจึงส่งไลน์บอกหมอนัทว่าเราลงมาที่ล๊อบบี้กันแล้ว
หมอนัทไลน์ตอบกลับ หลังจากนั้นไม่นานก็ลงมาพบกันที่ล๊อบบี้
แล้วจึงเคลื่อนตัวไปร้านอาหารด้วยกัน
ระหว่างรอแม่มีการเซลฟี่เล็กน้อยที่ล๊อบบี้โรงแรมด้วย
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส
ถึงขั้นมีแดดออกจนกระต่ายสงสัยว่าไต้ฝุ่นรามสูรอาจจะสลายตัวไปแล้ว
แต่หมอนัทบอกว่ามันกลายเป็นซุปเปอร์ไต้ฝุ่นถล่มประเทศจีนอยู่ในเวลานี้ และมีคนเสียชีวิตไปแล้วหลายราย
เราก็ได้แต่ภาวนาขอให้ไต้ฝุ่นสลายไปโดยเร็ว
และขออย่าได้ส่งลมส่งฝนมาหาเกาะฮ่องกงอีกเลย
เมื่อวานนี้คุณทิฟฟานี่แนะนำให้เราไปกินอาหารเช้าที่ร้านเวอรี่กู๊ด
แต่กระต่ายได้อ่านในอินเตอร์เน็ตมาว่ามีร้านติ่มซำอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่จึงลองนำเสนอทุกคนดู
ซึ่งทุกคนก็โอเค กระต่ายจึงนำทางไปที่ร้านโต่วเหิง (Tao
Heung) ใช้เวลาเดินจากโรงแรมเพียงไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น
หน้าร้าน
โต่วเหิง (Tao Heung)
ภายในร้านมีลูกค้านั่งอยู่ประปราย
ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุกำลังนั่งจิบน้ำชา เราเลือกนั่งโต๊ะใกล้ๆ กับเคาท์เตอร์พนักงาน แล้วก็เริ่มดูเมนูโดยเฉพาะเมนูที่มีรูปภาพ ที่ข้างใต้รูปมีพื้นที่ให้เขียนสั่งอาหาร
เราก็เลยเลือกจากรูปแล้วก็เขียนจำนวนใส่ไว้ด้วยว่าต้องการกี่ชุด
กระต่ายเอาใบออร์เดอร์ไปให้พนักงานที่เคาท์เตอร์ แล้วก็กลับมานั่งรออาหารที่โต๊ะ
บรรยากาศในร้าน
เมนูมีรูปภาพสะดวกสบายแก่การสั่งอาหาร
น้าจิ๋มสังเกตว่าโต๊ะอื่นๆ
มีน้ำชาวางไว้ 1 กาทุกโต๊ะ ส่วนโต๊ะเรามีแต่กาน้ำร้อน
กระต่ายก็เลยลองเดินเข้าไปดูในครัวเห็นมีกาวางอยู่มากมาย
หยิบมาเปิดดูก็เห็นมีใบชาเจิ่งน้ำอยู่เต็มกาเราลงความเห็นกันว่ามันน่าจะผ่านการใช้งานมาแล้ว
กระต่ายจึงลองไปขอในครัวอีกครั้งก็พอดีพบกับพนักงาน เค้าจึงทำมาให้ใหม่ 1 กา
วันนี้เรามีนัดไปเที่ยวกับคณะทัวร์ซึ่งเป็นโปรโมชั่นที่แถมมากับค่าที่พัก
และรถรับส่ง ดังนั้นจึงต้องรีบไปให้ทันนัดเวลา 8.00 น.
จึงทำให้เราใจจดใจจ่อรออาหารที่สั่งไปจนต้องหันมองรอบตัวว่าโต๊ะอื่นๆ
ได้รับอาหารกันแล้วหรือยัง หลังจากที่บางโต๊ะเริ่มมีอาหารมาวาง
ไม่นานนักอาหารของเราก็เริ่มมีมาบ้างพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ
แล้วก็จดไว้ที่โต๊ะว่าเสิร์ฟอะไรไปแล้วบ้าง กระต่ายเรียกพนักงานขอ “กิ๊ดจั๊บ”
(จิ๊กโฉ่) เนื่องจากชาวฮ่องกงมักไม่ทานติ่มซำจิ้มกับจิ๊กโฉ่ผิดกับคนไทย
ดังนั้นจึงไม่เสิร์ฟถ้าเราไม่ได้ขอ
และเนื่องจากฮ่องกงอยู่ในมณฑลกวางตุ้งดังนั้นคนที่นี่จึงพูดภาษาจีนกวางตุ้ง กระต่ายจดจำภาษากวางตุ้งมาหลายคำเผื่อจำเป็นต้องใช้
เช่น เหน่ยโฮว แปลว่าสวัสดี ต๊อแจ
แปลว่าขอบคุณ เป็นต้น
ติ่มซำ
หลบหน่อยพระเอกมา...ขนมจีบกุ้งแสนอร่อยค่ะ
อาหารที่สั่งไปมีเสี่ยวหลงเปา
ฮะเก๋า ขนมจีบกุ้งฯ ซึ่งก็มีรสชาติอร่อยทุกอย่าง สมกับที่หลายๆ
คนได้กล่าวถึงไว้ในโลกออนไลน์
โดยเฉพาะขนมจีบกุ้งลูกโตที่มีเนื้อกุ้งข้างในเต็มคำกระต่ายรู้สึกชอบมากเป็นพิเศษ
เมื่อกินเสร็จแล้วเรานำใบที่พนักงานจดไว้บนโต๊ะไปคิดเงินที่เคาท์เตอร์ด้านหน้า จากนั้นก็รีบกลับไปที่ล๊อบบี้โรงแรมเพื่อให้ทันเวลานัด
ระหว่างทางได้แวะซื้อยาอมที่ 7-eleven ด้านข้างโรงแรม
ร้าน 7-eleven ในฮ่องกงไม่ได้ติดแอร์อย่างที่เมืองไทย
และเปิดประตูหน้าร้านต้อนรับลูกค้าอยู่เสมอ
7-eleven
สาขา ซิตีเกตเอาต์เลต (City gate Outlet)
เรามารอที่ล๊อบบี้โรงแรมได้ซักพักหมอนัทก็พาพวกเราตามไกด์ลงไปขึ้นรถบัสนักท่องเที่ยว
ซึ่งรวบรวมคนไทยที่พักในโรงแรมย่านจิมซาโจ่ย 40 คน ไปเที่ยวด้วยกัน บนรถมีไกด์ทำหน้าที่บรรยายให้พวกเราฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของฮ่องกง
และสถานที่ต่างๆ ชื่อว่าคุณนีน่า รถบัสวนรับสมาชิกหลายโรงแรมในแถบนั้นจนครบ
แล้วก็เดินทางไปที่บริษัทจิวเวอรี่ ซึ่งไม่ได้เน้นขายเพชรพลอย
แต่เน้นจิวเวอรี่ที่เป็นเครื่องรางประเภทกังหัน มีจี้ และแหวนเป็นต้น
บริษัทนี้มีลักษณะพิเศษก็คือพนักงานเป็นคนไทยทั้งหมด
รวมทั้งคุณ นีน่าก็เป็นลูกครึ่งไทยด้วย พนักงานแทบทุกคนเกิดเมืองไทย
และมาแต่งงานกับชาวฮ่องกง
แล้วก็มาสังกัดบริษัทนี้เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะ
ที่บริษัทมีคุณโกโก้เป็นผู้บรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของกังหัน
และเรื่องราวความเชื่อศาสตร์ฮวงจุ้ยของชาวฮ่องกง
ใจความสำคัญมีอยู่ว่าฮ่องกงเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่ได้มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรมากมาย
มีเพียงข้อตกลงทางการค้ากับนานาชาติให้เป็นประเทศที่ปลอดจากภาษีอากร
ดังนั้นจึงเป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังที่ทั่วโลกต่างก็มาเยือน
และรายได้อีกอย่างหนึ่งของฮ่องกงก็คือตลาดหุ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นตลาดหุ้นแหล่งใหญ่แล้วชาวฮ่องกงร้อยละ
70 ก็ยังเป็นนักเล่นหุ้นอีกด้วย ในปี 2542 ที่ราคาหุ้นตกลงทั่วโลก
ชาวฮ่องกงมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมากเพราะล้มละลาย
จึงหันมาหาที่พึ่งทางใจเป็นการบนบานเทพเจ้าหลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์กลับพลิกฟื้นพลังศรัทธาจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย และเป็นกระแสมาถึงเมืองไทย
กระต่ายเคยเห็นจี้แบบนี้แพร่หลายในเมืองไทยแต่ไม่รู้ความหมาย
อันที่จริงความเป็นมาของจี้มาจากวัดแชกงหมิว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้า แชกง
ตามประวัติของวัดแห่งนี้สร้างขึ้นจากศรัทธาของประชาชนในสมัยโบราณซึ่งในยุคนั้นยังมีโจรสลัดชุกชุม
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่ามีคนพบกับชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างนักรบบอกให้ติดกังหันไว้ที่หน้าหมู่บ้านเพื่อป้องกันโจรสลัด
ชาวบ้านที่เลื่อมใสจึงช่วยกันทำกังหันมาติดที่หน้าหมู่บ้าน ปรากฏว่าโจรสลัดเดินทางผ่านหมู่บ้านไปโดยไม่ได้เข้าปล้นเป็นที่น่าอัศจรรย์
ชาวบ้านเชื่อว่าชายที่พบก็คือแม่ทัพแชกงซึ่งท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่ง
เวลานำทัพออกรบท่านจะให้ติดกังหันไว้ที่หน้ารถเสมอ และบั้นปลายชีวิตท่านได้นำฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่งหนีมาที่เขตซาถิ่น
(Sha
Tin) หรือ นิวเทอริทอรี่ (New Territories) ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวัดแห่งนี้
จากนั้นจึงมีบริษัทเอกชนหลายแห่งนำสัญลักษณ์กังหันมาทำเป็นเครื่องรางโดยใช้ทองจริง
และเพชรแท้ประดับตกแต่งเพื่อเพิ่มมูลค่า และทำพิธีปลุกเสกจากทางวัด
จัดจำหน่ายให้แก่ผู้ที่มีจิตศรัทธานำไปสวมใส่เพื่อขจัดปัดเป่าภัยอันตราย
หรืออีกนัยหนึ่งก็ให้พัดพาเอาโชคดีเข้ามาหาผู้สวมใส่
นับเป็นเครื่องประดับเครื่องไหวได้ที่ได้รับความสนใจมากในปัจจุบัน
จึงเป็นที่มาทำให้เราต้องมาเยี่ยมชมบริษัท กันในวันนี้ค่ะ
ทางเข้าบริษัท
สองหม่ามี้ผู้น่ารัก
คณะทัวร์ทั้ง 40
ท่านใช้เวลาในบริษัทจิวเวอรี่มากพอสมควร พวกเราต่างคนต่างมา
และไม่ใคร่สนใจกันมากนัก ไม่มีใครถามใครว่ามาจากไหนใดๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากที่ฮ่องกงเรามักได้ยินคนพูดภาษาไทยกันจนแทบจะคิดว่าอยู่ที่ประเทศไทย
และคนฮ่องกงเองก็มีลักษณะหน้าตาไม่ผิดจากคนไทยเท่าไรนัก
ไม่เหมือนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่แตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง
เมื่อขึ้นนั่งประจำที่บนรถบัสคุณนีน่าก็เริ่มแจกแซนวิส
กับน้ำลูกท้อให้กับสมาชิกได้กินรองท้องกันก่อนที่จะเดินทางต่อไปตามโปรแกรมก็คือ
วัดหวังต้าเซียน ถ้าย้อนกลับไปนึกถึงรูปถ่ายของผู้ที่มาเที่ยวประเทศฮ่องกง
แทบจะไม่มีใครเลยที่ไม่ได้ถ่ายภาพคู่กับรูปปั้น 12 นักษัตร ที่อยู่ในวัดหวังต้าเซียนแห่งนี้
วัดหวังต้าเซียนออกเสียงแบบภาษากวางตุ้งว่า “หว่องไท่ซิน”
มีประวัติความเป็นมาว่ามีเจ้าของร้านขายยาแห่งหนึ่งได้อันเชิญรูปเคารพของหวังต้าเซียนมาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
หวังต้าเซียนเป็นหมอที่บำเพ็ญพรตจนได้เป็นเซียนมีผู้คนให้ความเคารพกันมาก
เจ้าของร้านขายยานำรูปเคารพมาประดิษฐานในศาลข้างร้าน
ผู้ที่มาซื้อยามักจะมากราบไหว้ขอพรอยู่เสมอ ต่อมาร้านขายยารวมทั้งศาลถูกไฟไหม้ จึงถูกสร้างใหม่ขึ้นมาเป็นวัดแห่งนี้
ในอดีตมีโรคระบาดเกิดขึ้นประชาชนจึงมากราบไหว้ขอพร และนำน้ำจากวัดไปดื่มกินทำให้หายจากโรค
ชาวบ้านจึงศรัทธากันมากทำให้วัดมีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการขอพรในเรื่องของสุขภาพ
พวกเราไม่ได้ซื้อธูปเทียนมาจุดบูชาอย่างคนอื่นๆ
ได้แต่ไหว้ แล้วก็เดินชมบริเวณโดยรอบ เริ่มตั้งแต่วิหารด้านหน้า
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และสวนที่สวยงามทางด้านหลังวัด แม้วัดจะมีเนื้อที่ไม่มากแต่ก็จัดสรรเนื้อที่ได้อย่างลงตัว
เวลานี้แดดค่อนข้างร้อนจัด
ดังนั้นทุกคนจึงกางร่มกันหมดทำให้เกิดแฟชั่นร่มในกลุ่มเรา
ประตูทางเข้าวัด
คนปีเสือ
แฟชั่นร่มหลากสีที่สวนด้านหลังวัดค่ะ
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
(คุณนีน่าบอกว่าห้ามโยนเหรียญลงไปค่ะ)
บรรยากาศการไหว้ขอพรที่วัดหวังต้าเซียน
ออกจากวัดหวังต้าเซียนรถบัสพาเราเดินทางต่อไปยังวัดแชกง
หรือ แชกงหมิว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าแชกง หรือนายพลแชกง
ดังที่กระต่ายได้บอกเล่าเรื่องราวไว้ข้างต้นเมื่อไปเยี่ยมชมบริษัทจิวเวอรี่ วัดแห่งนี้มีบรรยากาศร่มรื่นตั้งอยู่ในเขตซาถิ่น
(Sha
Tin) หรือ นิวเทอริทอรี่ (new
territories) ซึ่งอยู่ทางเหนือของฝั่งเกาลูน มีอาณาเขตติดต่อกันกับเมือง เสิ่นเจิ้นซึ่งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งของจีน
ฮ่องกงมีพื้นที่ 30%
เป็นเขตเมือง ก็คือส่วนที่มีตึกสูงอัดแน่นกันจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ
ส่วนอีก 70% เป็นพื้นที่ป่าไม้ และทะเล
ตามเส้นทางที่เราผ่านก็เริ่มมีการสร้างตึกสูงขึ้นหลายแห่งในเขตพื้นที่สีเขียว
คุณนีน่าเล่าว่าคนฮ่องกงน้อยคนที่จะมีบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่จะพักกันในคอนโดสูง
ซึ่งมีอัตราการซื้อขายแพงมากมีหน่วยวัดเป็นตารางฟุต หรือนับกันเป็นแผ่นกระเบื้องเลยทีเดียว
ที่อยู่อาศัยของรัฐบาลมีราคาถูกกว่าของเอกชน และมีราคาปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตามสภาวะปัจจุบัน
หน้าวัดแชกง
ที่วัดแชกงเราก็ไม่ได้ซื้อธูปเทียนมาจุดเช่นกัน
เราเข้าไปไหว้เทพเจ้าแชกงกันด้านใน หลังจากอธิษฐานเสร็จให้เงยหน้าขึ้นสบตาเทพเจ้า คุณนีน่าเล่าว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดยาวของประเทศไทย
คือตรงกับวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษาติดกับวัน เสาร์-อาทิตย์
มีคนไทยมาไหว้เทพเจ้าแชกงกันมากจนต้องเข้าคิวกันอธิษฐาน
วันนี้จึงนับเป็นโชคดีที่วัดแทบไม่มีคนเลยนอกจากกลุ่มของเรา 40 คน
กระต่ายบริจาคให้กับทางวัดไป 20 เหรียญ ได้รับซองสีแดงเล็กๆ มา 1 ซอง
ข้างในมียันต์เล็กๆ แผ่นหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ของวัดบอกให้เอาใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์จะได้ “เฮงๆ ลอยๆ”
ออกเสียงเพี้ยนมาจาก “เฮงๆ รวยๆ”
ยันต์จากวัดแชกง
เทพเจ้าแชกง
(สูงราวตึก 2 ชั้น)
กระต่ายไม่ลืมที่จะหมุนกังหันทองเหลืองที่วางอยู่ด้านข้างเทพเจ้าแชกง
คุณนีน่าบอกว่าช่วงเทศกาลทางวัดจะนำกังหันมาวางเพิ่มให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้หมุนกังหันกันโดยทั่วถึง
การหมุนกังหันจะต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา และหมุนเพียงรอบเดียวเท่านั้น
เพื่อพัดโชคดีเข้ามา และปัดเป่าสิ่งร้ายๆ ออกไป
หลังจากไหว้เทพเจ้าแชกงเสร็จพวกเราก็หาที่ร่มพักผ่อนรอคณะทัวร์คนอื่นๆ
ที่ยังคงทำพิธีอยู่ด้านหน้าวิหาร
กลิ่นควันธูปลอยอบอวลไปทั่วบริเวณจากธูปขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างตามระดับความศรัทธาของประชาชนที่มาไหว้ขอพร
ธูปบางอันจุดได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็น เนื่องจากมีขนาดใหญ่ราวกับไม้เบสบอล
ควันธูปลอยอบอวลไปทั่ว
นั่งพักกันร่มๆ
ค่ะ
ออกจากวัดแชกงรถบัสมุ่งกลับมาที่ย่านจิมซาโจ่ยเพื่อส่งสมาชิกที่เที่ยวซิตีทัวร์
(City
Tour) ครึ่งวัน ที่บริเวณห้างฮาร์เบอซิตี (Harbour City) ซึ่งพอเหล่าสมาชิกลงจากรถต่างก็มุ่งหน้าเข้าไปที่ร้านอาหาร
แม่สันนิษฐานว่าคงจะหิว
เพราะพวกเราเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกันเนื่องจากเป็นเวลาร่วมบ่ายโมงแล้ว
แต่เราก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย วัดที่ฮ่องกงไม่เหมือนกับที่เมืองไทย วัดของเรามีอาหารขายเรียงเป็นแถวยาวให้เลือกอิ่มท้องได้ตลอดเวลา
เมื่อส่งคนเสร็จรถบัสก็มุ่งหน้าไปสู่เกาะลันตา
ซึ่งเป็นเกาะที่เราข้ามมาจากฝั่งสนามบินเมื่อวานนี้เพื่อพาเราไปเที่ยวหมู่บ้านนองปิง
(Ngong
Ping) สักการะพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่บนภูเขา
การเดินทางไปยังหมู่บ้านสมัยก่อนใช้การเดินเป็นหลักกินเวลาถึง 2 วัน ปัจจุบันมีรถ
และกระเช้าเดินทางไปถึงได้ไม่ยากเย็นนัก
และการคมนาคมที่นิยมกันมากที่สุดก็คือการนั่งกระเช้าหรือเคเบิลคาร์นั่นเอง
หมอนัทวางแผนว่าเราจะไม่กลับพร้อมคณะทัวร์
แต่จะนั่งรถไฟฟ้าไปกันเองเพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวชมไม่ต้องรีบร้อน และถ้าเราลงจากหมู่บ้านนองปิงกันเร็วก็จะได้แวะช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าได้อย่างสบายใจ
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีเคเบิลคาร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับห้างซิตีเกตเอาต์เลต (City Gate Outlet) และสถานีรถไฟฟ้าเอ็มทีอาร์ (MTR) หมอนัทตัดสินใจเปลี่ยนตั๋วจากกระเช้าธรรมดา เป็นแบบคริสตัล ซึ่งมีพื้นกระเช้าเป็นกระจกใส
ซึ่งนอกจากจะได้ความหวาดเสียวเป็นพิเศษแล้ว เราก็ยังจะได้เข้าแถวด่วน (Fast
lane) อีกด้วย
ตั๋วนี้ถ้าเปลี่ยนเพียงเที่ยวเดียวจะสามารถเปลี่ยนได้เฉพาะขากลับเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อความรวดเร็วเราจึงเปลี่ยนทั้งขาไป และขากลับ โดยคุณนีน่าให้ส่งตัวแทนที่ต้องการเปลี่ยนตั๋วครอบครัวละ
1 ท่าน ตามคุณนีน่าขึ้นไปบนสถานี กลุ่มเราก็เลยส่งหัวหน้ากลุ่มซึ่งก็คือหมอนัทไป
การเปลี่ยนตั๋วต้องจ่ายเพิ่มคิดเป็นเงินไทยประมาณ 300 บาท ต่อคนค่ะ
เราโดยสารรถบัสคันนี้มากันค่ะ
เมื่อได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว
พวกเราตัดสินใจไปหาอะไรกินกันก่อนที่ห้าง ซิตีเกตเอาต์เลต (City Gate
Outlet) ซึ่งมี ฟูดรีพับบลิก (Food Republic) อยู่บริเวณชั้น
2 ของห้าง ในห้างมีคนเดินเที่ยวกันมากมายร้านค้าก็มีมากละลานตาไปหมด
เราเดินหาศูนย์อาหารกันพักหนึ่งเนื่องจากห้างกว้างมาก ฟูดรีพับบลิก (Food Republic) มีลักษณะคล้ายกับศูนย์อาหารบนห้างบ้านเรา แต่ไม่ต้องแลกคูปอง
สามารถใช้เงินสดซื้ออาหารได้ทันทีซึ่งก็สะดวกและรวดเร็วดีค่ะ ร้านที่เราเลือกซื้อก็เป็นร้านแนวอาหารไทย
ถึงขั้นมีผัดกระเพราไข่ดาวขายด้วย เราสั่งผัดผักบุ้งปลาเค็ม
(มารู้สึกว่ามีปลาเค็มก็เมื่อได้ลองกิน ตอนสั่งชี้ๆ เอาค่ะ) กับข้าวอีกอย่างก็คือผัดวุ้นเส้น
ตัวอย่างอาหารค่ะ
พนักงานของร้าน
เวลาสั่งอาหารเราใช้วิธีชี้เอาตามที่โชว์อยู่
จากนั้นพนักงานก็จะคิดเงิน เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็จะให้ใบเสร็จเรามาถือไว้
พออาหารออกมาวางในถาดเราก็เอาใบเสร็จให้เค้าแล้วก็รับอาหารไปหม่ำได้เลยค่ะ แม่ กระต่าย
และน้าจิ๋มกินอาหารไทย ที่มีรสชาติประหนึ่งกินที่เมืองไทย
(แต่เรามาลองของฮ่องกงกันค่ะ) ส่วนหมอนัทกินบะหมี่เกี๊ยว (ชิมดูแล้วจืดๆ
บะหมี่เด็กชัดๆ)
ส่วนเครื่องดื่มมื้อนี้ก็เป็นโค้ก และน้ำเปล่าค่ะ
อร่อยกันใหญ่
ก็บ่ายสองแล้วนี่นา
หลังอาหารเราขึ้นไปบนสถานีเคเบิลคาร์เพื่อนั่งกระเช้าคริสตัสกัน
กระต่ายเดินผ่านร้านขายป๊อนคอนก็เลยโฉบไปซื้อมา 1 กระป๋อง เพราะรู้ว่าน้าจิ๋มชอบ และเราก็จะได้มีอะไรทำระหว่างการเดินทางที่ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงกันด้วย
ที่หน้าสถานีเคเบิลคาร์
มองกระเช้าที่กำลังเดินทางค่ะ
หมอนัทแจกสายรัดข้อมือให้คนละ
1 เส้น
เป็นเครื่องหมายว่าเราขึ้นกระเช้าคริสตัล
บัตรนี้ใช้สแกนเข้าไปด้านใน
(ต้องเก็บไว้ใช้ขาออกด้วยค่ะ)
มารอขึ้นกระเช้ากันแล้วค่ะ
ออกเดินทางกันค่ะ
จุดเริ่มต้นความหวาดเสียว
เริ่มต้นออกเดินทางเราก็ข้ามน้ำกันก่อนเลย
สีของน้ำทะเลด้านล่างเป็นสีเขียวมรกตสวยงาม ในกระเช้ามีผู้โดยสาร 6 คน พวกเรา 4 คน
และมีสามีภรรยาชาวจีนคู่หนึ่งโดยสารมาด้วยกัน
แม่กับน้าจิ๋มกินป๊อบคอนกันก๊อบแก๊บไปเรื่อยๆ เราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากนัก
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหวาดเสียวหรืออึ้งกันแน่ ได้ยินแค่ว่า “นั่งได้
มองดูวิวได้แต่ยืนไม่ได้”
ข้ามน้ำข้ามเขาหลายลูกมากค่ะ
มองเห็นสนามบินด้วยค่ะ
วิวริมฝั่ง
บางช่วงลมพัดแรงจนกระเช้าสะบัดเล็กน้อยโดยเฉพาะเวลาผ่านช่องเขา
จะรู้สึกว่าลมตีเขามาแรงกว่าปกติ ด้านบนของกระเช้ามีกระจกเปิดไว้เป็นช่องเล็กๆ ให้ลมลอดผ่านเพื่อรักษาสมดุลการทรงตัว
ระหว่างที่ผ่านไปตามภูเขามองลงไปจะเห็นทางเดินทอดยาวแหวกต้นไม้สีเขียว
มีคนเดินอยู่เป็นระยะๆ เห็นตัวนิดเดียว ระหว่างทางมีจุดพักกระเช้าเรื่อยๆ
อาจจะเผื่อมีฝนตกหรือลมแรง จนเดินทางต่อไม่ได้
เห็นคนข้างล่างตัวจิ๋วๆ
ค่ะ
สามสาวเสื้อลาย
(ขวาง)
ในที่สุดเราก็มองเห็นองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนภูเขาอยู่ลิบๆ
พระพุทธรูปองค์นี้ สร้างขึ้นโดยเจ้าอาวาสวัดโปลิน ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา
รัฐบาลฮ่องกงขายที่ดินสำหรับสร้างองค์พระให้แก่เจ้าอาวาสเพียง 1
เหรียญฮ่องกงเท่านั้น ส่วนงบประมาณในการสร้างได้รับบริจาคจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา
ดังนั้นถ้าใครได้ขึ้นไปนมัสการองค์พระที่ด้านบนก็จะเห็นชื่อผู้บริจาคสลักอยู่ที่ฐานดอกบัวโดยรอบ
เห็นพระพุทธรูปอยู่ลิบๆ
แล้วค่ะ
ลงจากเคเบิลคาร์เราก็เดินเข้ามาสู่หมู่บ้านนองปิง
ซึ่งมีร้านค้าเรียงรายอยู่ 2 ข้างทาง เป็นร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก
ทางเดินทอดยาวไปสุดอยู่ที่ด้านหน้าองค์พระที่ประดิษฐานอยู่บนภูเขาสูง
ร้านขายของที่ระลึกในสถานีเคเบิลคาร์
ร้านค้าที่หมู่บ้านนองปิง
7-eleven
ก็มีค่ะ
เมฆดำมาครึ้มดูน่ากลัว
แต่ฝนก็ไม่ตกค่ะ
ในที่สุดเราก็เดินมาถึงแท่นเทียนถานซึ่งมีลักษณะคล้ายกับที่หอฟ้าเทียนถานที่กรุงปักกิ่ง
องค์พระพุทธรูปก็หันพระพักตร์ไปทางกรุงปักกิ่งเช่นกัน
การขอพรพระใหญ่ก็ทำได้โดยยืนตรงจุดกึ่งกลางแท่นเทียนถาน
แต่ในที่นี้ไม่มีเทียนซินสือซึ่งเป็นก้อนหินวงกลม
เราต้องยืนที่จุดกึ่งกลางหันหน้าเข้าหาองค์พระ เมื่อไหว้ขอพรเสร็จแล้วก็ให้เงยหน้าขึ้นมองไปที่องค์พระพุทธรูป
ก็เป็นอันเสร็จพิธี ในองค์พระพุทธรูปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายในด้วย
ผู้มีจิตศรัทธาหลายท่านก็เดินขึ้นบันได 268 ขั้นขึ้นไปนมัสการองค์พระ
และทำบุญที่วัดโปลินซึ่งอยู่บนเขาอีกด้วย
ไหว้ขอพรพระใหญ่
ด้านหน้าองค์พระ
เสร็จจากไหว้พระเราก็เดินกลับกันทันที
ก่อนไปขึ้นเคเบิลคาร์เราแวะชิมขนมที่ร้านฮันนี่มูนเดสเสิร์ท
(Honeymoon dessert) กัน
เนื่องจากเป็นร้านชื่อดังเป็นที่นิยมของคนไทย ในร้านมีคนไม่มากนอกจากโต๊ะเราแล้วก็มีลูกค้าอีก
2 โต๊ะเท่านั้น พนักงานมารับออเดอร์เราก็ชี้ขนมที่ต้องการให้เค้าดู ปรากฏว่าหมดค่ะ
นู่นก็หมดนี่ก็หมดคงเพราะเรามาเย็นไปหน่อย
สุดท้ายหมอนัทก็เลยต้องถามว่ามีอะไรเหลือบ้าง?
เราก็เลยสั่งขนมที่ยังมีมาแทน แต่ก็ไม่ผิดหวังค่ะอร่อยดี และถูกใจแม่ๆ มาก
เพราะเป็นไส้ทุเรียนสด ขอโปรดของทั้งคู่เลยเชียว สันนิษฐานอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเป็นหมอนทองชัวร์ค่ะ
แต่หมอนัทไม่ปลื้มนะคะเพราะไม่กินทุเรียน (พลาดของดีซะแล้ว)
จึงได้แต่ชิมไอศกรีมชาเขียวที่มาพร้อมกับเฉาก๊วย และไอศกรีมทุเรียนแทน
(ไอศกรีมทุเรียนก็ไม่กินอีกแน่ะ)
ขนมไส้ครีม
และเนื้อทุเรียน
เนื้อทุเรียนเน้นๆ
ค่ะ
หลังจากดื่มด่ำกับขนมกันจนหมดทั้ง 2
ถ้วยแล้ว ก็ได้เวลากลับกันแล้วค่ะ ขากลับมีผู้คนมารอลงกระเช้าหนาแน่นกว่าขามามากๆ
แต่ทางด่วน (Fast lane) ของเราสบายมากค่ะ
แทบไม่มีคิวเลย เราเดินผ่านคนนับร้อยๆ เข้าไปยืนหน้าทางเข้าแบบฉลุยกันเลย
ตามก้นท่านผู้นำไปค่ะไม่หลงทางแน่นอน
ขากลับมีฝนตกปรอยๆ
แต่ลมไม่แรงเท่ากับขามา และดูเหมือนจะใช้เวลาน้อยกว่า (หรืออาจจะคิดไปเอง)
เรามีผู้ร่วมทางมาด้วยอีก 2 คนเหมือนเคย เป็นการถ่วงดุลกระเช้าได้ดีเหมือนกันค่ะ
พอกระเช้าถึงสถานีปุ๊บ เราก็ทยอยเดินลง แล้วแม่ก็พูดขึ้นมาว่า “รอดตายแล้ว”
อ้าวแล้วกันกระต่ายนึกว่าแม่สนุกซะอีกนะเนี่ย
จากนั้นเราก็ลงจากสถานีเคเบิลคาร์ไปต่อกันที่สถานีเอ็มทีอาร์
(MTR)
หรือรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งอยู่ติดกันกับซิตีเกตเอาต์เลต (City
Gate Outlet) ชื่อว่าสถานีตุงชุง
(Tung Chung) หมอนัทคำนวณอย่างรอบคอบว่าเราควรจะซื้อตั๋ว วันเดย์พาท
(One day pass) น่าจะเหมาะที่สุด บัตรสามารถใช้ขึ้นรถกี่เที่ยวก็ได้จนถึง
5 โมงเย็นวันพรุ่งนี้ (ใช้ได้ 24 ชั่วโมงค่ะ เราซื้อเวลา 5 โมงเย็น)
สถานีรถไฟฟ้าตุงชุง
(Tung
Chung)
นี่คือโฉมหน้าบัตรเบ่ง
24 ชั่วโมงของเราค่ะ
หมอนัทเป็นผู้นำทางที่ดีมาก
ฉลาดรอบรู้ และช่างสังเกต กระต่ายดูแผนที่รถไฟฟ้าซึ่งต้องต่อรถแล้วก็มึนค่ะ
เพราะนอกจากจะต้องเปลี่ยนสถานีในบางครั้งแล้ว
ก็ยังมีการเปลี่ยนสายรถที่นั่งอีกด้วย เพราะรถไฟฟ้าในฮ่องกงแยกเส้นทางออกเป็นสีต่างๆ
ได้ถึง 10 สีด้วยกัน
แผนที่รถไฟฟ้าเอ็มทีอาร์
(MTR)
รถไฟฟ้าที่ฮ่องกงก็มีหลักการทำงานคล้ายในบ้านเราคือแตะบัตรให้ร้อง
“ติ๊ด” แล้วเครื่องก็จะเปิดทางให้เราเข้าไปด้านใน แต่ที่นี่ต้องใช้มือหมุนเอานะคะ
มีบ้างเหมือนกันที่เปิดอัตโนมัติแต่น้อยค่ะ
แตะบัตรที่แท่นสีเหลืองนี้ค่ะ
แม้ว่าจะเป็นสถานีต้นทางแต่ก็มีคนมารอขึ้นรถกันเยอะมาก
และโดยไม่คาดคิดพอประตูรถเปิดคนยังไม่ทันลงหมดชาวฮ่องกงทั้งหลายก็วิ่งแซงเข้าไปจับจองที่นั่งอย่างไม่มีใครเกรงใจใคร
ผิดกับในบ้านเราที่อย่างดีก็แค่เดินเร็วนิดหน่อยเพื่อให้ได้ที่นั่งก่อนคนอื่นเท่านั้น
แต่วินาทีนี้มีหญิงไทยวัยดึก 2 ราย
วิ่งปรู๊ดแซงชาวฮ่องกงไปนั่งได้ก่อนอย่างน่าชมเชย ก็คือแม่ และน้าจิ๋มนั่นเอง
ตามมาด้วยกระต่ายที่แม้จะช้ากว่านิดหน่อยแต่ก็ได้ที่นั่งติดน้าจิ๋มเหมือนกัน
เป็นวินาทีที่น่าจดจำมากค่ะ
หมอนัทแม้จะมีที่นั่งฝั่งตรงข้ามเหลืออยู่แต่ก็เลือกที่จะไม่นั่ง
แต่มายืนห้อยโหนอยู่ใกล้แม่ๆ และพี่ต่าย
เพื่อที่จะได้ดูแลให้พวกเราลงสถานีที่ถูกต้องนั่นเอง
กระต่าย
แม่ และน้าจิ๋ม นั่งเรียงกันเอี้ยมเฟี้ยมค่ะ
ไม่นานนักเราก็ต้องลงจากรถเพื่อเปลี่ยนขบวนที่สถานีไล่คิง
(Lai King) โดยหมอนัทเรียกพวกเราลงจากรถค่ะ
กระต่ายเองก็นั่งเพลินไม่ได้ดูสถานีเลย
พอลงจากรถเราก็เดินไปขึ้นรถอีกขบวนหนึ่งที่จอดอยู่ข้างๆ คราวนี้เราต้องยืนชั่วคราวก่อนที่จะได้นั่งเมื่อใกล้ถึงสถานีจิมซาโจ่ย
(Tsim Sha tsui) ค่ะ
ถึงแล้วค่ะสถานีจิมซาโจ่ย
(Tsim
Sha tsui)
ที่สถานีจิมซาโจ่ย (Tsim
Sha tsui) มีคนลงเยอะมาก
และมีคนเดินกันขวักไขว่ดูเร่งรีบ
หมอนัทดูป้ายทางออกว่าเราควรออกทางไหนดีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำเราไปที่ Exit
D ทางเดินออกมีป้ายบอกไปตลอดทางค่ะไม่ต้องกลัวหลงเลย
เราเดินตามหมอนัทไปเรื่อยๆ จนมาโผล่ออกถนนด้านบน ที่ฮ่องกงถนนทุกสายไม่ว่าเล็กหรือใหญ่จะมีทางเดินข้ามที่มีสัญญาณไฟเสมอ
และทุกคนต่างก็เคารพกฎจราจรโดยการรอสัญญาณไฟถึงแม้ว่าถนนจะว่างก็ไม่มีใครฝ่าฝืนข้ามไป
ผู้ใช้รถเมื่อเห็นสัญญาณก็จอดให้คนข้ามเสมอค่ะ สัญญาณไฟจะดังติ๊ดๆๆ ห่างๆ
ขณะที่สัญลักษณ์รูปคนบนป้ายไฟเป็นสีแดง และเร่งจังหวะถี่เมื่อเป็นสีเขียว
เสมือนเร่งจังหวะให้เราก้าวเดินข้ามถนนอย่างฉับไว
ในสถานีจิมซาโจ่ย
(Tsim
Sha tsui)
เห็นสีเขียวอย่างนี้ข้ามได้เลยค่ะ
หมอนัทพาพวกเราเข้ามาที่ห้างฮาร์เบอซิตี
(Harbour
City) ก้าวแรกที่มาถึงห้างก็พบหุ่นสนูปปี (Snoopy) ตั้งเรียงรายเต็มไปหมด เนื่องจากทางห้างกำลังมีนิทรรศการเกี่ยวกับสนูปปี
อยู่ค่ะ พวกเราก็ไปเดินชมสินค้ากันก่อนเพื่อรอเวลาชมซิมโฟนีออฟไลท์
(Symphony of light) ที่ อะเวนิวออฟสตาร์(Avenue of
star) ริมอ่าววิคตอเรีย ในเวลา 2 ทุ่มตรง กระต่ายก็ได้ซื้อที่ดัดขนตามาอันหนึ่งจาก
ร้านชูอูเอมูระ (Shu uemura) จากนั้นเราได้ออกมานั่งชมวิวริมทะเลในยามเย็นที่ด้านข้างห้าง
ถ้าได้ดูซิมโฟนีออฟไลท์ (Symphony of light) จากตรงนี้ก็คงดีค่ะ
ทางเข้าห้างฮาร์เบอซิตี
(Harbour
City)
สนูปปี้เรียงเป็นแถวค่ะ
ตึกที่เห็นคือตึกไอซีซี
(ICC)
สูงที่สุดในฮ่องกง และสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก
เราพากันเดินไปที่อะเวนิวออฟสตาร์
เวลานี้แม่เริ่มเจ็บเท้าเนื่องจากเดินมากแล้วเท้าบวมขึ้นแต่แม่ก็อดทนเดินไปถึงจนได้
ขณะนั้นจวนได้เวลาที่จะมีการแสดง ผู้คนมากมายต่างก็มารอชมกันอย่างคับคั่ง
จนเรามองไม่เห็นราวระเบียบด้านที่ติดกับริมน้ำ
ดังนั้นจึงต้องถอยออกมาชมบริเวณกึ่งกลาง
ยังดีที่หมอนัทพาเราขึ้นมาที่ชั้นสองของทางเดิน จึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่ด้วยความที่คนค่อนข้างเบียดกันมากขณะเดินขึ้น เราจึงพลัดหลงกันชั่วขณะหนึ่ง
ใกล้กับที่เราชมการแสดงมีหอนาฬิกา
และศูนย์วัฒนธรรม เป็นอาคารรูปทรงแปลกตา บริเวณนี้เคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อน
ปัจจุบันรื้อถอนไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงหอนาฬิกาไว้เป็นอนุสรณ์เพียงอย่างเดียว
พอได้เวลา 2 ทุ่ม
ตึกสูงทั้งทางฝั่งฮ่องกง และเกาลูนต่างก็เปิดไฟสวยงามระยิบระยับ มีเสียงเพลง
และเสียงบรรยายเป็นภาษาจีน บางครั้งก็มีการโชว์แสงสีเฉพาะบางตึกโดดเด่นขึ้นมา
มีการยิงเลเซอร์สว่างไสวสวยงามตระการตา
ซิมโฟนีออฟไลท์
ยิงแสงเลเซอร์
ตึกไอซีซี
(ICC)
ทางฝั่งเกาลูนก็มีการแสดงแสงสีเช่นกัน
การแสดงแสงสีนี้เกี่ยวพันกับเรื่องของหลักฮวงจุ้ยนัยว่าช่วยดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก
และเวลาทำการแสดง 2 ทุ่มตรง ก็มีความเกี่ยวเนื่องกับเลข 8 ซึ่งเป็นเลขมงคลอีกด้วย
ฮ่องกง และเกาลูนถูกคั่นกลางด้วยอ่าววิกตอเรีย ซึ่งมีลักษณะที่กว้างตรงปากอ่าว
และแคบลงเรื่อยๆ หมายถึงฮ่องกงมีรายรับที่มากกว่ารายจ่าย นอกจากนี้ตึกสูงต่างๆ
ยังสร้างโดยยึดหลักการฮวงจุ้ยทั้งสิ้น กระต่ายขอแนะนำตึกสำคัญของฮ่องกงไว้ ณ
ที่นี้ บางส่วน เช่นตึกแบงค์ออฟไชน่า (Bank of China) ตัวตึกสร้างคล้ายใบมีด แถมยังหันด้านคมมืดไปที่ทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย
มีผู้กล่าวว่าแสดงถึงการต่อต้านอำนาจรัฐ
ทำเนียบรัฐบาลเองก็ทำการแก้เคล็ดโดยการสร้างตึกขึ้นมาบังคมมีด ตึกอื่นๆ
รอบข้างต่างก็ต้องแก้ไขฮวงจุ้ยเพราะอยู่ใกล้ตึกมีดด้วยกันทั้งสิ้น
แบงค์ออฟไชน่า
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
อีกตึกหนึ่งที่สวยงาม
และมีความสำคัญก็คือเฮชเอสบีซี (HSBC) หรือ
เดอะฮ่องกงแอนด์เซียงไฮ้แบงค์กิงคอร์เปอเรชัน (The Hongkong and Shanghai
Banking Corporation) ตึกนี้สร้างขึ้นที่ประเทศอังกฤษ
แล้วจึงส่งชิ้นส่วนลงเรือมาประกอบขึ้นเป็นตัวอาคารที่ฮ่องกง
ข้อที่แปลกก็คือตึกนี้ไม่ได้หันหน้าเข้าหาอ่าววิคตอเรียเหมือนตึกอื่นๆ
แต่กลับหันหน้าไปทางภูเขาด้านหลังตามหลักฮวงจุ้ย
เพื่อดึงดูดผู้ที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน ที่ดาดฟ้าตึกมีวัตถุคล้ายปืนติดอยู่
เพื่อแก้ฮวงจุ้ยจากตึกมีดที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ตึกเฮชเอสบีซี
(HSBC) ภาพจากอินเตอร์เน็ต
หลังจากชมแสงสีเสียงซิมโฟนีออฟไลท์จบแล้ว
หมอนัทพาเราไปร้านบะหมี่ใกล้ๆ โรงแรมที่พัก แต่เราสั่งเป็นเกี๊ยวกุ้งกันค่ะ
ไม่ได้สั่งเส้นบะหมี่เพราะดึกมากแล้ว
เกี๊ยวกุ้งลูกใหญ่ในน้ำซุปรสกลมกล่อม
กระต่ายไม่เคยกินเกี๊ยวกุ้งที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย
เกี๊ยวลูกใหญ่มีกุ้งเด้งๆ อยู่ข้างใน มีหมูอยู่เพียงน้อยนิด
น้ำซุปก็อร่อยขาดรสเผ็ดเพียงอย่างเดียวซึ่งเราก็สามารถใช้น้ำมันงาช่วยได้
น้าจิ๋มเหลือบไปเห็นผักคะน้าน้ำมันหอยที่โต๊ะอื่นสั่ง เราก็เลยเอาอย่างเค้าบ้าง
ก็ได้ผักคะน้าเขียวสดรสอร่อยมา 1 จาน ค่ะ พอกินกันเสร็จกระต่ายไปจ่ายสตางค์ให้กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นคุณลุงอายุน่าจะเกิน
70 ปี จึงไม่ลืมกล่าวบอกเค้าว่า “โหวเส็ก” ซึ่งเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง แปลว่าอร่อยค่ะ
สั่งเกี๊ยวกุ้งตามหมอนัทกันทุกคนเลยค่ะ
คะน้าน้ำมันหอยเขียวสดรสชาติอร่อย
อิ่มหนำกันเรียบร้อยก็กลับโรงแรมกันค่ะ
เพราะแม่ก็ไม่ไหวแล้วเนื่องจากปวดเท้า และหมดแรง
ระหว่างทางเดินกลับกระต่ายพยายามแวะหายานวดกล้ามเนื้อให้แม่
ปรากฏว่าไม่มียี่ห้อที่เรารู้จักเลยไม่กล้าซื้อมาใช้ แต่มีร้านหนึ่งขายยาหม่องตราเสือก็เลยซื้อมา
1 กระปุกค่ะ (มาซื้อถึงฮ่องกงแน่ะ) เราแวะร้านเบเกอรี่ซื้อขนมมา 2
ชิ้นเพื่อทดลองชิมก่อนถ้าอร่อยก็จะกลับมาซื้อไปเป็นของฝากในวันพรุ่งนี้ค่ะ
แม้กระต่ายจะมีแนวคิดที่จะออกมาเดินเล่นอีกซักหน่อย
แต่ในเมื่อทุกคนพัก เราก็พักตามกันค่ะ คุณหมอมาส่งที่ห้อง และสั่งคุณป้าพิมพ์ให้แช่เท้าในน้ำอุ่น
แล้วก็หนุนเท้าให้สูงๆ คนไข้ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ช้าเท้าที่บวมก็ลดลงจนปกติ
แม่หลับสนิทไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก ส่วนลูกๆ ก็ส่งไลน์วางแผนเรื่องอาหารเช้ากันต่อ
หมอนัทยังมีแรงเหลือไปว่ายน้ำที่สระของโรงแรมอีกด้วย วันพรุ่งนี้เรานัดกัน
8 โมงเช้าที่ล๊อบบี้ค่ะ คืนนี้กระต่ายไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเพราะคาดว่าไม่น่าจะตื่นเกิน
7 โมงเช้าอย่างแน่นอน
และแล้วกระต่ายก็ผล็อยหลับไปใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสี
และหยาดฝนที่โปรยปราย
20 ก.ค. 2557
เช้านี้กระต่ายตื่นขึ้นมาเวลา
7.26 น. ซึ่งใกล้เวลานัดเต็มที เราแม่ลูกก็เลยรีบผลัดกันอาบน้ำ
พอแม่อาบน้ำเสร็จน้าจิ๋มก็โทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาหาที่ห้อง
คาดว่าคงจะเป็นห่วงเพื่อนรักที่รู้สึกว่าอาการจะไม่ใคร่ดีเมื่อคืนนี้
ซึ่งกระต่ายก็ดีใจเพราะยังแต่งตัวไม่เสร็จ จะได้ขอให้น้าจิ๋ม และหมอนัทรอสักครู่
วันนี้เราต้องเช็คเอาท์โรงแรมก่อนเที่ยง
ดังนั้นกระต่ายกับแม่จึงแพ็คกระเป๋าไว้เรียบร้อย
เพื่อที่ว่าหลังกลับมาจากกินอาหารเช้าเราจะได้ขนของลงไปได้เลย
จากนั้นเราก็จะได้ไปเที่ยวกันต่อ
อาหารเช้าวันนี้กระต่ายตั้งใจไว้ว่าควรจะเป็นโจ๊ก
เพราะเป็นอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของฮ่องกง
และไก่โต้งก็โฆษณาไว้หนักหนาว่าจะต้องไปกินให้ได้ ร้านฮั่งลี (Hung
Lee) เป็นร้านยอดนิยมของคนไทยจนถึงขั้นมีเมนูภาษาไทย
แม้ว่าจะต้องเดินไกลหน่อย แต่กระต่ายคิดว่าเราควรจะไปลิ้มลองกันสักครั้ง
ร้านฮั่งลี
(Hung
Lee) มีจักรยานคันนี้จอดหน้าร้านตลอดค่ะ
พอมาถึงร้านกระต่ายบอกกับคนขายว่าเป็นคนไทย
เค้าก็นำเมนูภาษาไทยมาให้เรา พร้อมทั้งชี้ที่โจ๊กหมูสับซึ่งเป็นของชอบของคนไทย
ทุกคนก็เลยสั่งโจ๊กหมูสับคนละชาม ส่วนกระต่ายจิ้มไปที่โจ๊กตับ
เพราะอยากทดลองที่แปลกกว่าคนอื่นบ้าง อาหารอีกอย่างที่ต้องสั่งมากินคู่กับโจ๊กก็คือ
“เหยาจากวย” หรือปาท่องโก๋ และหมอนัทก็จิ้มเมนูกุ้งห่อก๋วยเตี๋ยวอีกหนึ่งอย่าง ส่วนเครื่องดื่มหมอนัทหิ้วน้ำแร่เอเวียงขวดละ
55 เหรียญมาจากโรงแรม เราก็เลยไม่ได้สั่งน้ำเปล่า
แต่กระต่ายได้สั่ง “เหล็งเลาะ” ซึ่งก็คือโค้กที่ใส่เลมอนฝานเป็นแว่นๆ
มาลองชิม บรรยากาศในร้านมีคนนั่งเต็มแทบทุกโต๊ะ และเป็นคนไทยกว่าครึ่งร้านค่ะ
บรรยากาศในร้านค่ะ
รอไม่นานของที่สั่งก็เริ่มทยอยมาเริ่มจากปาท่องโก๋
ซึ่งอันที่จริงเป็นตัวยาว (ยาวกว่าที่เมืองไทย) เวลาเสิร์ฟเค้าจะตัดมาเป็นท่อนๆ
เพื่อให้หยิบกินได้ง่าย ปาท่องโก๋ฮ่องกงจะเค็มนิดหน่อย
ไม่เหมือนของบ้านเราซึ่งจะมีรสหวานกว่า
เหยาจากวย
(ปาท่องโก๋)
แม่ชอบปาท่องโก๋ฮ่องกงมากกว่าของไทยค่ะ
ตะเกียบมีให้หยิบได้จากลิ้นชักโต๊ะนะคะ
โจ๊กตับของกระต่าย
โจ๊กหมูสับ
(แต่เป็นก้อน)
ก๋วยเตี๋ยวหลอดห่อกุ้ง
เหล็งเลาะ
โจ๊กชามใหญ่มากค่ะ เกินกว่าจะกินไหว เนื้อโจ๊กเนียนเหมือนซุปข้น
ไม่เหมือนโจ๊กบ้านเราที่ข้าวยังคงเป็นเม็ดๆ ตับที่ใส่มาก็ชิ้นใหญ่หนานุ่มดีมากค่ะ กระต่ายได้ลองชิมหมูในชามของแม่เป็นหมูแบบเด้งๆ
อร่อยดีไม่แพ้กัน น้าจิ๋มชมว่าก๋วยเตี๋ยวหลอดแป้งนุ่มดี ส่วนเหล็งเลาะของกระต่ายเสิร์ฟแก้วน้ำแข็งเปล่าที่มีเลมอนฝานเป็นแว่นๆ
ผสมอยู่ ส่วนโค้กมาเป็นกระป๋องพร้อมหลอด และช้อนเล็กหนึ่งคัน สำหรับไว้คนให้เลมอนเปรี้ยวทั่วกันทั้งแก้ว
รสชาติดีทีเดียว และเป็นไอเดียที่ดีมากโค้กเปรี้ยวเข้าใจคิดจริงๆ
อิ่มอร่อยแต่กินไม่หมดค่ะงานนี้
หมู และตับหมดทุกชามเหลือแต่ข้าว เกรงใจอยู่เหมือนกันนะคะ
แต่ไม่ไหวจริงๆ ชามใหญ่มาก ที่ฮ่องกงเวลาคิดเงินจะมี 2
วิธีคือคิดเงินก่อนแล้วนำใบเสร็จไปรับอาหาร
ส่วนอีกวิธีก็คือนำอาหารมาเสิร์ฟพร้อมกับใบเสร็จ
พอกินเสร็จแล้วค่อยเอาใบเสร็จไปจ่ายเงินที่เคาท์-เตอร์ค่ะ ร้านนี้ใช้วิธีหลัง พอจ่ายเงินเรียบร้อยกระต่ายไม่ลืมที่จะบอกกับพนักงานว่า
“โหวเส็ก” ...
หมอนัทชวนให้เรียกแท็กซี่กลับโรงแรมจะได้ไม่เสียเวลาในการเที่ยว
แท็กซี่ฮ่องกงเป็นยี่ห้อโตโยต้าเหมือนในเมืองไทย ส่วนใหญ่ทาสีแดง
และสภาพไม่ค่อยใหม่เท่าไหร่นัก มิเตอร์เริ่มต้นที่ 20 เหรียญ
การขับขี่รู้สึกว่าปลอดภัย และไว้ใจได้ค่ะ
ไปไหนไปกันค่ะ
2 แม่
พอถึงโรงแรมเราก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว
จากนั้นก็เอากระเป๋ามารวมกันที่ล็อบบี้ แล้วทำการเช็คเอาท์
ทางโรงแรมรับฝากกระเป๋าของเราไว้ระหว่างที่เราไปเที่ยวแต่ไม่รับประกันสิ่งของมีค่า
โดยมีบัตรติดที่กระเป๋าของเราทุกคน แล้วนำไปเก็บไว้ในห้องเล็กๆ ชั้นล่างของโรงแรม
กระต่ายลองมองเข้าไปก็เห็นมีกระเป๋าของนักท่องเที่ยวคนอื่นรวมอยู่ด้วย
เช้าๆ
แม่เราก็สวยอย่างนี้แหละ
ฝากกระเป๋ากันเรียบร้อยเราก็รีบออกไปเที่ยวกันทันที
เพราะ 4 โมงเย็น รถก็จะมารับเราไปส่งที่สนามบินแล้วค่ะ
หมอนัทพาเราลงไปที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเดินทางข้ามไปยังฝั่งฮ่องกง บัตรวันเดย์พาท
(one
day pass) ที่เราซื้อเมื่อวานถูกนำมาใช้อีกครั้ง
แต่วันนี้มีปัญหาขลุกขลักนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากบัตรของกระต่ายแตะแล้วเข้าสถานีไม่ได้
ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เค้าก็ยุ่งเพราะทำงานเพียงคนเดียว
กระต่ายก็เลยตัดสินใจมุดเข้ามาเลยเพื่อความรวดเร็ว เมื่อเราไปถึงสถานีฮ่องกงก็เป็นไปตามความคาดหมายคือกระต่ายออกไม่ได้
หมอนัทก็เลยไปติดต่อเจ้าหน้าที่ให้เช็คบัตร กระต่ายจึงสามารถออกจากสถานีได้ตามปกติ
หมอนัท
และผู้โดยสารคนอื่นๆ กำลังติดต่อเจ้าหน้าที่
เมื่อออกมาได้เรียบร้อยสามสาวก็เดินกันตัวปลิว
รู้ตัวอีกทีก็หาหมอนัทไม่เจอเพราะหมอมัวแต่ดูป้ายทางออกอยู่ว่าจะออกทางไหนดี พอเจอกันน้าจิ๋มจึงหยอกว่าหมอนัทเดินช้าเดี๋ยวจะทิ้งไว้ที่ฮ่องกงคนเดียว
ทั้งที่ในความเป็นจริงเราสามคนมากกว่าที่ถ้าหลงกับหมอนัทอาจจะหาทางกลับกันไม่ถูก ครอบครัวของน้าจิ๋มเป็นคนอารมณ์ดี
มักจะพูดจาหยอกเย้ากันเล่นเป็นประจำ บ้างครั้งแม่ก็แซวลูก หรือไม่ลูกก็ล้อแม่
ความอารมณ์ดีของน้าจิ๋มก็เผื่อแผ่มาที่แม่ของกระต่ายด้วย ปกติแม่เป็นคนเคร่งขรึม
และค่อนข้างจริงจังกับชีวิต ทั้งชีวิตตนเอง
และคนใกล้ชิด เมื่อได้อยู่ใกล้กับคนอารมณ์ดีก็ทำให้แม่ยิ้มง่ายขึ้น มีความสุข
และปล่อยวางได้มากขึ้นไปด้วย กระต่ายจึงรัก
และนับถือน้าจิ๋มมากที่ทำให้แม่ของกระต่ายมีความสุข ขอบคุณนะคะ
หมอนัทพาเราออกมาทาง Exit
A จากนั้นก็เดินข้ามสะพานลอยไปยังอาคารฝั่งตรงข้ามที่เรียกกันว่าตึกเอกซ์เชนสแควร์
(Exchange square) ซึ่งใต้ตึกมีท่ารถบัสสายต่างๆ อยู่
เราจะไปขึ้นรถบัสสาย 260 กันค่ะ เพื่อเดินทางไปเที่ยวรีพัลส์เบย์ (Repulse
bay) หรือหาดพระจันทร์เสี้ยวอันโด่งดัง
ใครมาถึงฮ่องกงแล้วไม่ได้ไปเที่ยวถือว่าไปไม่ถึงนะคะ
สะพานลอยที่เราเดินข้ามเป็นทางเชื่อมเข้าไปในตึก
เอกซ์เชนสแควร์ (Exchange square) กระต่ายเห็นมีคนนั่งปิกนิกกันเต็มไปหมด มีเสียงพูดภาษาไทยด้วย
แม่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นคนที่มาทำงานในฮ่องกง
วันนี้เป็นวันหยุดก็เลยออกมาสังสรรค์กันตามสถานที่สาธารณะ
ตามท่านผู้นำไปค่ะ
ระเบียงทางเดินมีคนนั่งเต็มไปหมด
เดินเลียบริมระเบียงไปไม่ไกลมีบันไดเลื่อนลงไปใต้ตัวตึก
เป็นท่ารถสายต่างๆ ป้ายที่เราจะขึ้นอยู่ป้ายแรกพอดีค่ะ อันที่จริงมีรถสายอื่นๆ
ที่ไปถึง รีพัลส์เบย์ (Repulse
bay) ได้อีกหลายสาย เช่น 6X เป็นต้น
แต่ที่เราเลือกไปสาย 260 ก็เป็นเพราะรถบัสสายนี้ลอดอุโมงค์ฮาร์เบอร์ดีน
ทำให้ร่นระยะทางให้ถึงได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนสาย 6X คนจะนิยมขึ้นเพื่อไปเที่ยวโอเชียนพาร์คกันมากกว่า
ที่รอรถมีเหล็กกั้นให้เข้าคิวกันอย่างเป็นระเบียบ น่าจะนำมาใช้ที่ประเทศไทยบ้าง
แต่ไม่รู้ว่าชาวไทยจะยอมเข้าคิวกันหรือเปล่านะคะ
ถึงท่ารถบัสแล้วค่ะ
มีช่องให้เข้าคิวรอรถเป็นระเบียบดีค่ะ
มาแล้วค่ะ
260 ที่รอคอย
พอรถเทียบท่าเราก็เดินไปขึ้นรถตามคิวกันค่ะ
กระต่ายชวนแม่กับน้าจิ๋มขึ้นไปนั่งชั้นบน
ส่วนหมอนัทก็รับกระเป๋าเงินของกลุ่มเราไปจ่ายค่าโดยสารก่อนแล้วจึงตามขึ้นมาค่ะ
ไปทะเลกันดีกว่า
การจราจรติดขัดเล็กน้อยขณะที่ออกมาจากตึกเอกซ์เชนสแควร์ค่ะ
แต่ไม่นานนักก็ลอดอุโมงค์ฮาร์เบอร์ดีนซึ่งไม่ได้ยาวเท่าไรนัก
เมื่อลอดออกมาแล้วรถบัสก็พาเราลัดเลาะไปตามภูเขาหลายลูก ใช้เวลาราวๆ
เกือบครึ่งชั่วโมง ก็เริ่มมองเห็นทะเลมีคนเล่นน้ำอยู่มากมายเพราะวันนี้อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใสมากค่ะ
พอเห็นตึกที่มีรูโหว่กระต่ายก็ปลุกแม่ลงจากรถ เพราะพอจะทราบมาจากเว็บไซด์ว่าเราต้องลงตรงนี้ค่ะ
ตึกนี้เป็นจุดสังเกตว่าต้องลงรถค่ะ
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
พอลงจากรถเราก็เดินข้ามไปอีกฝั่ง
ลงบันไดตามคนอื่นๆ ไปที่ชายหาดด้านล่าง
จากนั้นก็เดินบนถนนเรียบริมหาดไปจนถึงศาลเจ้าแม่กวนอิมริมทะเล ระยะทางประมาณ 200
ม. เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ชมวิวทะเล
ทะเลที่นี่สีเขียวมรกตเหมือนกับที่อ่าววิคตอเรียเมื่อวานนี้ มีประภาคารย่อมๆ
เป็นที่สังเกตการณ์ของไลท์การ์ดเป็นระยะๆ ห้องน้ำสาธารณะก็สะอาดน่าใช้บริการ
แต่ไม่ค่อยมีของขายผิดกับชายหาดบ้านเราที่เต็มไปด้วยสารพัดอาหาร ที่นี่มี 7-eleven
อยู่แห่งเดียว
คนที่มาเที่ยวบางกลุ่มก็นำอาหารมากินกันเองอย่างอิกเกริก
ทางเดินลงไปที่หาด
เดินบนถนนเรียบริมหาดค่ะจะได้ไม่เหนื่อย
ชายหาดสะอาดปราศจากขยะ
และร้านค้า
7-eleven
หนึ่งเดียวของหาดนี้ค่ะ
มีห้างสรรพสินค้าร้างอยู่บริเวณริมหาดชื่อว่าเดอะพัลส์
(The
pulse) ท่าทางเหมือนกำลังจะปรับปรุงเพื่อเปิดใหม่อีกครั้ง
ระหว่างทางเห็นมีนักท่องเที่ยวใส่ชุดว่ายน้ำเปิดเผยเนื้อตัว
เดินกันเป็นปกติสวนกับเราหลายคน น้าจิ๋มบอกว่าคนไทยขี้อายไม่กล้ามาเดินแบบนี้หรอก
เรียนภาษาก็อายไม่กล้าพูด (น้าจิ๋มเป็นอดีตอาจารย์สอนภาษาอังกฤษค่ะ)
ดังนั้นน้าจิ๋มจึงขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากลูกๆ ของน้า
แม้แต่เรื่องที่น้าจิ๋มกลัวก็สอนให้ลูกไม่กลัว นับเป็นนโยบายที่ดีอย่างยิ่ง
ชื่อรีพัลส์เบย์ (Repulse
bay) มาจากเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่กองทัพเรืออังกฤษขับไล่โจรสลัดที่ซ่องสุมอยู่บริเวณนั้นออกไป
คำว่า รีพัลส์(Repulse) แปลว่า ขับไล่ นั่นเอง
ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญซึ่งเดิมทีมีเพียงศาลเจ้าแม่ทับทิมซึ่งคนเดินเรือมักจะมาไหว้ขอพร
ต่อมาได้สร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ และรูปเคารพของเทพเจ้าองค์อื่นๆ อีกมากมาย
เรียกได้ว่ามาที่นี่แล้วขอพรได้ครบถ้วนเลยทีเดียว
ในที่สุดเราก็เดินมาถึงศาลเจ้าแม่ทับทิม
ซึ่งมีเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์มากมาย เมื่อเดินเข้าไปที่ปากประตูก็มี พระขอบุตร
และเทพเจ้าไช่ชิงเอี้ยตั้งอยู่คู่กัน กระต่ายก็เอาธนบัตรไปลูบที่องค์เทพเจ้าไช่ชิงเอี้ยขอพรให้มีโชคลาภ
เงินทองไหลมาเทมาแล้วก็เก็บธนบัตรใส่กระเป๋า
ส่วนพระขอบุตรนั้นแม่กับน้าจิ๋มสนใจเป็นพิเศษ ไหว้ขอพรแล้วก็ลูบเด็กที่อยู่บนองค์พระขอหลานกันใหญ่
ประตูศาลเจ้าแม่ทับทิม
ขอหลานกันใหญ่นะคะ
จากนั้นเราก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกัน
โดยไปยืนที่แผ่นกระเบื้องสีน้ำตาล
ไหว้อธิษฐานขอพรแล้วก็ให้เงยหน้าขึ้นสบตาองค์เจ้าแม่กวนอิมก็เป็นอันเสร็จพิธี
เจ้าแม่ทับทิมก็ประทับนั่งอยู่คู่กับเจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง
เจ้าแม่กวนอิม
ยืนบนกระเบื้องสีน้ำตาลไหว้เจ้าแม่กวนอิม
ด้านหลังคือเจ้าแม่ทับทิมค่ะ
จากนั้นก็พาแม่ไปข้ามสะพานเพิ่มอายุ
ข้าม 1 ครั้ง ก็เพิ่มอายุได้ 1 ปี แต่ห้ามข้ามย้อนกลับไป เพราะจะทำให้อายุลดน้อยลง
แม่ๆ ก็พากันเดินข้ามไปแต่ขอรอบเดียวพอค่ะเดี๋ยวจะเหนื่อย
กระต่ายก็ข้ามตามไปด้วยจะได้อายุยืนพอจะดูแลแม่ต่อไป ส่วนหมอนัทไม่ยอมข้ามบอกว่าไม่อยากอายุยืน
(ต้องอายุยืนอยู่แล้วค่ะ เป็นหมอเองนี่นา)
ข้ามสะพานแล้วเราก็มาเจอเทพเจ้าหยุดโหลวซึ่งเป็นเหมือนกามเทพของจีนมีคนมากมายมาอธิษฐานขอเนื้อคู่ค่ะ
ในมือของเทพเจ้าถือสมุดเล่มสีแดงเอาไว้ นัยว่าจะได้เลือกจับคู่ให้มวลมนุษย์ กระต่ายก็ไปจับก้อนหินสีดำให้ท่านหาคู่ให้ค่ะไม่รู้ว่ามีชื่อเนื้อคู่อยู่ในเล่มนั้นรึเปล่าเอ่ย?
ขึ้นสะพานเพิ่มอายุ
เทพเจ้าหยุดโหลว
(เทพเจ้าแห่งความรัก)
ยังมีเทพเจ้า และเซียนอีกมากมายในบริเวณนั้นที่กระต่ายเองก็ไม่รู้จัก
เราเดินชมดูไปเรื่อยๆ ก็พบว่าส่วนใหญ่จะถูกลูบคลำจนเป็นมันเงา ที่นี่เน้นลูบขอพรค่ะเจออะไรเป็นลูบคลำกันไปหมด
ถ้าพ่อมาเจอคงจะบอกว่าเชื้อโรคเยอะไม่ให้จับแน่ๆ เลย ดังนั้นกระต่ายก็เลยพาแม่กับน้าจิ๋มไปลูบเหรียญกันต่อ
ที่เหรียญมีอักษรจีนเขียนเป็นคำอวยพรเอาไว้ และมีกระจกติดไว้รอบๆ เหรียญ
เราลูบเหรียญก็เพื่อให้กระจกสะท้อนคำอวยพรเข้ามาสู่ตัวเราค่ะ
คณะทัวร์ลูบคลำค่ะ
กระต่ายเพิ่งสังเกตว่าน้าจิ๋มถอดเสื้อตัวที่อยู่ด้านในออกไปแล้ว
สวยหลายชั้นจริงนะคะน้าเรา เที่ยวชมกันจนเป็นที่พอใจแล้วเราก็เดินทางกลับกันค่ะ
หมอนัทชวนให้กลับแท็กซี่จะได้ประหยัดเวลาในการรอรถประจำทาง และเราจะได้ไปถึงท่าเรือได้เลยโดยไม่ต้องเดิน
เพราะรายการถัดจากนี้เราจะต้อง ช้อปปิ้งกันแล้วค่ะ
ควรจะเก็บแรงไว้เดินห้างกันดีกว่า ค่าแท็กซี่คราวนี้จะมีค่าทางด่วนเพิ่มมาด้วยค่ะ
ต้องจ่ายต่างหากจากค่ามิเตอร์ที่ขึ้นมา
วิวที่มองลงมาจากศาลเจ้าแม่ทับทิม
บ้านบนภูเขา
ถนนที่มารีพัลส์เบย์ค่อนข้างแคบค่ะ
และทางก็คดเคี้ยวมากด้วย
แท็กซี่สีขาววิ่งเฉพาะฝั่งฮ่องกงค่ะ
ไม่ข้ามไปฝั่งเกาลูน
พอลงจากแท็กซี่กระต่ายก็ได้เห็นบิ๊กบัสทัวร์
เป็นรถบัสนำเที่ยวแบบเปิดหลังคา รถนี้จะใช้เวลา 1
ชั่วโมงในการพานักท่องเที่ยวไปยังจุดสำคัญต่างๆ บนเกาะฮ่องกง แต่ขณะนี้เวลาของเราเหลือน้อยเต็มทีควรจะข้ามกลับไปฝั่งเกาลูนกันได้แล้วค่ะ
บิ๊กบัส
หมอนัทถามว่าเราจะนั่งเรือชั้นล่างหรือชั้นบนดี
กระต่ายตอบไปโดยไม่ต้องคิดว่าชั้นบนค่ะ วิวน่าจะดีกว่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย
หมอนัทก็เลยกดลิฟท์ไปชั้นบนกันเลย พอขึ้นมาก็เจอตลาดนัดบนท่าเรือ ส่วนใหญ่ขายพวกพืชผัก
และอาหาร สารพัดอย่างคล้ายๆ บ้านเรา
หมอนัทไปซื้อตั๋วที่ตู้จำหน่ายโดยช่วยกันค้นเหรียญซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถแลกคืนเป็นเงินไทยได้ออกมาหยอดตู้กันใหญ่
พอหยอดครบจำนวนก็ได้ชิปกลมๆ สีดำออกมา 4 อัน หมอนัทแจกจ่ายให้พวกเราสำหรับหยอดเพื่อผ่านทางกันคนละ
1 อัน
ตลาดนัดบนท่าเรือ
ตู้จำหน่ายตั๋ว
ชิปที่ได้มาสำหรับหยอดผ่านทาง
ท่าเรือชั้นบนคนน้อยมากค่ะ ไม่รู้ว่าชั้นล่างจะน้อยอย่างนี้รึเปล่า?
เรานั่งรอเรือไม่นานเท่าไหร่เรือก็เข้ามาเทียบท่า เมื่อผู้โดยสารขึ้นกันครบแล้วเรือก็แล่นออกจากท่าบ่ายหน้าสู่ฝั่งเกาลูน
ใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที เท่านั้นเองค่ะ
นั่งรอเรือกันค่ะ
เลือกนั่งค่อนมาทางหัวเรือหน่อย
บรรยากาศในเรือ
วิวฝั่งฮ่องกง
วิวด้านนี้มองเห็นอาคารนิทรรศการ
ในภาพด้านบนมองเห็นอาคารนิทรรศการซึ่งเป็นอาคารทรงหลังเต่า
สร้างจากอลูมิเนียม โดยมีวิธีการสร้างจากบนลงล่าง ด้านหน้าของอาคารมีโกลเดนโบฮีเมีย
หรือดอกชงโคสีทอง
ซึ่งประธานาธิบดีจีนมอบให้แก่ฮ่องกงในวันที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้แก่ประเทศจีน
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 ที่นี่จะมีการร้องเพลงชาติในเวลา 8.00 น.
ของทุกวันอีกด้วย เป็นสถานที่หนึ่งที่บิ๊กบัสแวะให้นักท่องเที่ยวได้ลงมาชื่นชมความงามของโกลเดนโบฮีเมียค่ะ
โกลเดนโบฮีเมีย
วิวนี้มองเห็นทั้งฝั่งฮ่องกง
และฝั่งเกาลูนค่ะ
กำลังจะเข้าเทียบท่าใกล้ๆ
กับอะเวนิวออฟสตาร์ที่เรามาชมไฟเมื่อคืน
ที่ท่าเรือมีเรือสำราญลำใหญ่จอดเทียบท่าอยู่
ทำให้กระต่ายนึกถึงเรือไททานิค แม้ว่าเรือลำนี้จะไม่หรูหราเท่า
แต่ก็มีห้องพักบนเรือคล้ายๆ กันนั่นเอง
เรือสตาร์ครุยเทียบท่าอยู่ที่ฝั่งเกาลูน
พอเรือจอดเทียบท่าหมอนัทก็พาพวกเราเข้าห้างฮาร์เบอซีตี
(Harbour
City) กันอีกครั้ง
คราวนี้เข้าจากทางท่าเรือเจอสนูปปี้ตัวใหญ่กว่าทางฝั่งถนนค่ะ
ในห้างเราใช้เวลาไปกับสิ่งที่ต้องการหลายอย่าง โดยมีหมอนัทเป็นผู้นำทาง
เนื่องจากชำนาญการดูแผนที่ และพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก
แถมยังเคยมาประชุมที่ฮ่องกงแล้ว 3 ครั้งด้วยค่ะ
สนูปปี้ตัวใหญ่ค่ะมุมนี้
พวกเราเข้าร้านโน้นออกร้านนี้หาของที่ต้องการ
หรือของที่บังเอิญเจอแล้วน่าสนใจเราก็หยุดดูกัน
หมอนัทเองนอกจากนำทางก็ยังได้ไปดูของให้กับตัวเองในระหว่างที่สาวๆ
ใช้เวลาในร้านเครื่องสำอางกันอีกด้วย เราได้ของกันคนละเล็กละน้อยพอได้ชุ่มชื่นใจ
แต่สิ่งที่กระต่ายยังตัดสินใจไม่ได้ก็คือน้ำหอม ของ ดี แอนด์ จี (D&G) ซึ่งร้านในห้าง ก็ราคาสูงลิ่วมาก
ร้านข้างนอกก็ถูกชนิดที่ว่าห่างกันเกือบ 2,000 บาท
ทำให้เกิดความไม่แน่ใจในคุณภาพ
หมอนัทแนะนำให้ลองไปดูที่สนามบินราคาน่าจะถูกกว่าในร้านบนห้าง
บรรยากาศภายในห้าง
พอเริ่มหิวหมอนัทก็พาไปร้านอาหารกันก่อนเลยค่ะ
ร้านนี้มีป้ายเมนูอาหารติดพราวอยู่บริเวณด้านหน้าร้าน มีคนเข้าคิวกันสั่งอาหารค่อนข้างเยอะ
และที่นั่งก็แทบไม่มีเลย หมอนัทให้กระต่ายไปหาจองโต๊ะก่อน
กระต่ายเดินหาโต๊ะอยู่นานจนเกือบจะหมดหวัง ก็พอดีมีครอบครัวหนึ่งลุกกันทั้งโต๊ะ
เราเลยสบายได้นั่งด้วยกัน เมื่อแม่ๆ มีที่นั่งเรียบร้อย กระต่ายก็รีบไปช่วยหมอนัทยกอาหาร
ซึ่ง ไชโย!! เราได้กินเป็ดย่าง
มาเที่ยวฮ่องกงเป็ดย่างเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ค่ะ
ป้ายเมนูอาหารเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ
สั่งอาหารจ่ายเงินแล้วนำใบเสร็จมารับอาหารตรงนี้ค่ะ
ในร้านผู้คนคับคั่ง
เส้นหมี่เป็ดย่าง
ของแม่เป็นเส้นใหญ่ค่ะ
น้ำมะม่วงผสมเกร็ดส้มโอของหมอนัทก็อร่อยมากค่ะ
เป็ดอร่อยนะคะมีข้อเสียอย่างเดียวคือไม่ได้เลาะกระดูก
เส้นหมี่กินง่ายกว่าเส้นใหญ่ (ใหญ่กว่าเส้นหมี่บ้านเรานะคะ)
แม่เก็บข้าวที่เหลือจาก ฟูดรีพับบลิก (Food
Republic) เมื่อวานเอาไว้ด้วย ก็เลยเอาออกมากินกับเป็ดแทนเส้นใหญ่
บอกว่าอร่อยมากค่ะ แสดงว่าเป็ดเหมาะจะกินกับข้าวมากกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวค่ะ
(แม่แบกข้าวไปไหนมาไหนด้วยนะเนี่ย)
กินข้าวเสร็จแล้วเราก็พากันเดินออกมานอกตัวห้าง
เจอกับขบวนประท้วงเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของวัยรุ่น ใส่เสื้อสีเขียวกันทั้งขบวน ทำให้นึกถึงผู้ชุมนุมเสื้อแดง-เสื้อเหลืองบ้านเรา
ซึ่งในปัจจุบันเราได้สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว
กระต่ายหวังว่าพวกเค้าเหล่านั้นจะสามารถตกลงกันได้ด้วยดีในเร็ววัน
แต่อย่างไรก็ตามกระต่ายคิดว่าเป็นขบวนประท้วงที่สวยงามมาก มีป้ายผ้าเขียนข้อความอย่างประณีต
แถมยังมีมังกรสีเขียวเชิดเรียกร้องความสนใจได้ดีอีกด้วย
ขบวนเรียกร้องสิทธิของวัยรุ่นฮ่องกง
เชิดมังกรสีเขียวกันด้วยค่ะ
ชมม็อบกันเสร็จแล้วหมอนัทก็พาเราลอดลงใต้ดินเพื่อข้ามถนนกลับไปทางโรงแรม
ระหว่างทางเราแวะร้านค้าอีกหลายร้านที่กระต่ายชอบมากก็คือซาซ่า (Sasa)
เป็นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมสวยนานาชนิด มีน้ำหอมขวดเล็กๆ
ให้เลือกซื้อไปทดลองใช้ ดินสอเขียนคิ้วแบบไม่ต้องเหลา (ใช้หมุนไส้ขึ้นมาแบบลิปสติก) แผ่นมาร์กหน้า ฯลฯ ร้านนี้มีสาขาอยู่มากมายในฮ่องกงค่ะ
หมอนัทพาแม่ๆ
ไปหาซื้อน้ำมันหอยในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นใต้ดิน หลังจากที่ซื้อกระเป๋าเดินทางใบเล็กเพิ่มมาอีก
1 ใบ จากนั้นก็ขอตัวพาแม่ๆ ไปจัดของที่โรงแรมก่อนเพราะจวนได้เวลาที่นัดกับรถไว้แล้ว
ส่วนกระต่ายยังเลือกซื้อเสื้ออยู่ที่ร้านจีออดาโน (Giordano) ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าที่ลดราคาเยอะมาก ได้เสื้อโปโลฝากไก่โต้ง
และเสื้อยืดฝากลูกน้อง และมีเสื้อที่หมอนัทฝากชำระเงินอีก 2 ตัว
ส่วนลดของร้านนี้ยิ่งซื้อมากยิ่งได้ลดมาก
กระต่ายจ่ายเงินเรียบร้อยก็รีบกลับไปสมทบกับทุกคนที่โรงแรม
จะเข้าร้านอื่นอีกก็เกรงว่าจะเป็นห่วงกัน
แต่การได้เดินคนเดียวมันก็เป็นความอิสระที่คุ้นเคย
เพราะปกติกระต่ายมักจะไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่เสมอ
มาถึงโรงแรมก็พบว่าทุกคนกำลังจัดกระเป๋ากันอยู่อย่างขะมักเขม้น
กระเป๋าของกระต่ายเองก็ทำท่าจะปิดไม่ลงอยู่เหมือนกัน
ต้องแบ่งของส่วนหนึ่งมาใส่ถุงแล้วถือไปต่างหาก ไม่นานนักรถก็มารับเราไปสนามบิน
ซึ่งก็มีเราเพียง 4 คนนั่งกันอย่างโอ่โถงไฮโซกันเหมือนเคย
ขามาของไม่เยอะขนาดนี้นี่นา
ระหว่างทางเราก็เจอขบวนประท้วงอีก คราวนี้ใส่เสื้อสีเหลือง
ไม่รู้ประท้วงกันเรื่องอะไร ยังดีที่ไม่ทำให้รถติด
ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เราไปสนามบินช้าไปด้วย
ขบวนประท้วง
พอมาถึงสนามบินเราก็ไปเข้าคิวชั่งน้ำหนักกระเป๋าและรับบอร์ดดิงพาท หมอนัทบอกว่าเราอาจจะต้องนั่งแยกกัน
เพราะถึงแม้ว่าจะทำเว็บเช็คอินมาล่วงหน้า แต่ปรากฏว่าไม่สามารถจองให้เราทั้ง 4
คนนั่งใกล้กันได้
ระหว่างที่พนักงานกำลังชั่งน้ำหนักกระเป๋าน้าจิ๋มชี้ชวนให้กระต่ายดูแม่ซึ่งกำลังยืนกอดอก
บอกว่าเหมือนครูดุๆ แม่มีท่าประจำอยู่ 2
ท่าก็คือกอดอก กับเอามือไพล่หลัง
แถมท่ากอดอกมองพนักงานชั่งกระเป๋าเหมือนกำลังจะส่งสัญญาณว่า “อย่าทำผิดพลาดนะ
ไม่งั้นตาย” ฟังแล้วทำให้ท่าทางที่ดูดุดันของแม่กลายเป็นตลกขบขันไปเลย
ท่ายืนกอดอกพิฆาต
ส่วนภาพนี้เป็นท่าเอามือไพล่หลัง
(ยิ้มนิดๆ ไม่ดุเท่าไหร่นะคะ)
กลับกันแล้วนะคะ
พอรับบอร์ดดิงพาทเรียบร้อยหมอนัทก็นำทางไปซื้อน้ำหอมที่ร้าน ดี แอนด์ จี (D&G) ทันที ปรากฏว่าราคาถูกกว่าที่ห้างอยู่หลายร้อยบาท
กระต่ายจึงได้น้ำหอมกลิ่นที่ชอบสมใจ
เราเดินเล่นในดิวตี้ฟรีกันอีกพักใหญ่จนเริ่มหิว จึงไปที่ศูนย์อาหารของสนามบิน ปรากฏว่าคนเยอะมากที่นั่งก็ไม่ค่อยมี
แม้แต่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ก็ต้องเข้าคิวรอให้โต๊ะว่าง
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรดีไปกว่าร้านแมคโดนัล
เราก็เลยส่งท่านหัวหน้าไปซื้อโดยรับเอากระเป๋าเงินกลุ่มไปด้วย
ส่วนกระต่ายก็ทำหน้าที่เดิมคือหาโต๊ะ พอได้โต๊ะก็ให้แม่ๆ นั่งจองเอาไว้
แล้วก็ไปช่วยหมอนัทถือของ
มื้อนี้น้าจิ๋มบอกว่าช้อปปิ้งจนเงินหมดเลยต้องกินฟาสต์ฟู้ดค่ะ
เครื่องบินที่เรานั่งขากลับลำใหญ่มากค่ะ
เพราะสังเกตว่ามีจำนวนที่นั่งแต่ละแถวมากกว่าขามา กระต่ายนั่งคู่กับแม่
หมอนัทนั่งคู่กับน้าจิ๋ม เราได้ที่นั่งห่างกัน แต่ยังพอมองเห็นกันได้ค่ะ อาหารบนเครื่องขากลับคือพาสตาซึ่งเราสองแม่ลูกลงความเห็นกันว่าไม่ค่อยอร่อยค่ะ
ใช้เวลาบินเพียง 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
รอกระเป๋านานหน่อยค่ะ
เพราะเครื่องลำใหญ่คนเยอะมาก
หลังจากได้รับกระเป๋า และแบ่งสมบัติกันเสร็จระหว่างคู่
แม่-ลูก เราก็มาคำนวณเงินกองทุนรวมในกระเป๋าสตางค์ของกลุ่มว่าเหลือเท่าไหร่
ซึ่งเมื่อนับเสร็จแล้วเหลือเบ็ดเสร็จเป็นเงินไทยคนละ 600 บาท
ซึ่งก็แปลว่าเราใช้เงินกันไปคนละ 1,400 บาท สำหรับค่าอาหาร ค่ารถ และค่าเรือ
มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่หมอนัท และกระต่ายควักออกมาเพิ่มเติมในกรณีที่เงินย่อยในกระเป๋าของเรามีไม่พอ
กระต่ายขอเหรียญห้าดอลลาร์ฮ่องกงจากกระเป๋าเงินรวมมา 1 เหรียญ เป็นเหรียญที่ใหม่เอี่ยมแวววาวน่าเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกอย่างยิ่ง
เผื่อว่าบางทีกระต่ายอาจจะได้ไปเยือนฮ่องกงอีกสักครั้ง
ไก่โต้งมารอรับเราอยู่แล้วด้านนอก
วันนี้เรากลับไฟท์ใกล้เคียงกับ โคชเชซึ่งเป็นโคชเทควันโดของทีมชาติไทยที่กำลังเป็นข่าวโด่งดัง
ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายมารอรับ และส่งเสียงต้อนรับกันลั่นสนามบิน
มีนักข่าว
และประชาชนมารอรับโคชเชกันอย่างคับคั่ง
แม่ และน้าจิ๋มกลับระยองไปพร้อมไก่โต้ง
ส่วนกระต่ายกลับกรุงเทพฯ พร้อมหมอนัทเพื่อไปรับเจ้าโตโยต้ายาริสเพื่อนยาก ...วันคืนที่เรามีร่วมกันที่ฮ่องกงได้สิ้นสุดลงแล้ว
แต่เวลาของความผูกพันยังคงมีต่อไปชั่วชีวิต...
โหวเส็กฮ่องกง...
เป็นความทรงจำในวันคืนอันมีค่า ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็จับใจ และจะตราตรึงไว้ตลอดไป…